บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เผยผลดำเนินงานค้ำประกันสินเชื่อ 6 เดือน ม.ค.-มิ.ย. 66 อนุมัติวงเงิน 67,987 ล้านบาท เติมสภาพคล่อง SMEs ได้สินเชื่อ 51,427 ราย สร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ 280,786 ล้านบาท สร้างสินเชื่อสู่ระบบ 76,049 ล้านบาท รักษาการจ้างงานรวม 493,552 ตำแหน่ง เผยแผนครึ่งปีหลังเดินเครื่อง 3 เร่ง "เร่งค้ำ เร่งพัฒนา เร่งยกระดับ" ขับเคลื่อน Digital Technology เชื่อมดิจิทัลแพลตฟอร์ม สู่เป้าหมาย SMEs Gateway
นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บสย. เปิดเผยผลดำเนินงาน บสย. 6 เดือนแรกของปี 66 อนุมัติค้ำประกันสินเชื่อ 6 เดือน (ม.ค.-มิ.ย. 66) อนุมัติวงเงินรวม 67,987 ล้านบาท ช่วย SMEs ได้สินเชื่อ 51,427 ราย สร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ 280,786 ล้านบาท สร้างสินเชื่อสู่ระบบ 76,049 ล้านบาท รักษาการจ้างงานรวม 493,552 ตำแหน่ง ผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อ 4 โครงการ ได้แก่
1. โครงการค้ำประกันสินเชื่อดอกเบี้ยถูก (พ.ร.ก.สินเชื่อฟื้นฟู ระยะที่ 2) วงเงิน 30,280 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 45% ของวงเงินรวม ช่วย SMEs 5,450 ราย
2. โครงการค้ำประกันสินเชื่อ บสย. SMEs เข้มแข็ง (PGS 10) วงเงิน 24,766 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 36% ของวงเงินรวม ช่วย SMEs 40,254 ราย
3. โครงการค้ำประกันสินเชื่อรายสถาบันการเงิน ระยะที่ 7 (BI7) วงเงิน 8,634 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 13% ของวงเงินรวม ช่วย SMEs 4,453 ราย
4. โครงการค้ำประกันสินเชื่ออื่นๆ (PGS Renew และ PGS 5 ขยายเวลา) วงเงิน 4,307 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 6% ของวงเงินรวม ช่วย SMEs 1,702 ราย
สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการค้ำประกันสินเชื่อสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่
1. ภาคบริการ สัดส่วน 31% ได้แก่ ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ภัตตาคาร ธุรกิจขนส่ง ธุรกิจโรงแรมและหอพัก ธุรกิจท่องเที่ยว และ ธุรกิจแวร์เฮ้าส์
2. ภาคเกษตรกรรม สัดส่วน 11% ได้แก่ ธุรกิจผัก-ผลไม้ ธุรกิจชา กาแฟ ธุรกิจข้าว และพืชไร่ ธุรกิจสินค้าเกษตร ธุรกิจปศุสัตว์ และธุรกิจประมง
3. ภาคการผลิตและสินค้าอื่น สัดส่วน 10% ได้แก่ ธุรกิจค้าวัสดุก่อสร้าง ธุรกิจค้าปลีก ตลาดสด และแผงลอย ธุรกิจค้าของเก่า ธุรกิจจำหน่ายมือถือและอุปกรณ์ ธุรกิจการค้า ธุรกิจการผลิตอื่นๆ
ส่วนโครงการค้ำประกันสินเชื่อที่โดดเด่นในรอบ 6 เดือน ได้แก่ โครงการค้ำประกันสินเชื่อ บสย. SMEs เข้มแข็ง (PGS 10) อนุมัติค้ำประกันได้ถึง 24,766 ล้านบาท (จากวงเงินที่ได้รับอนุมัติเมื่อเดือน ก.พ. 66 จำนวน 50,000 ล้านบาท) จากการพัฒนาผลิตภัณฑ์ค้ำประกันสินเชื่อ ทั้ง 5 Segments คือ
- Smart Biz (สัดส่วนค้ำ 62%) วงเงินค้ำเฉลี่ยต่อราย 5.17 ล้านบาท
- Smart One (25%) วงเงินค้ำเฉลี่ยต่อราย 2.72 ล้านบาท
- Small Biz (13%) วงเงินค้ำเฉลี่ยต่อราย 0.09 ล้านบาท
- Smart Green (0.14%) วงเงินค้ำเฉลี่ยต่อราย 3.82 ล้านบาท
- Start up (0.01%) วงเงินค้ำเฉลี่ยต่อราย 0.07 ล้านบาท ช่วย SMEs ได้สินเชื่อ 40,254 ราย และโครงการค้ำประกันดอกเบี้ยถูก (พ.ร.ก.สินเชื่อฟื้นฟู ระยะที่ 2) ร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย ช่วย SMEs ได้สินเชื่อ 5,450 ราย อนุมัติค้ำ 30,280 บาท
นอกจากนี้ บสย. ยังประสบความสำเร็จในการให้คำปรึกษาทางการเงิน SMEs (บสย. F.A. Center) จำนวนผู้ใช้บริการลงทะเบียนขอรับคำปรึกษาและเข้าอบรมมากกว่า 14,076 ราย ขณะที่โครงการช่วยลูกหนี้ "บสย. พร้อมช่วย" มาตรการเชิงรุก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการช่วยเหลือลูกหนี้แก้หนี้ยั่งยืนได้รับผลสำเร็จดีเยี่ยม
ทั้งนี้ สามารถช่วยเหลือลูกหนี้ ผ่านโครงการประนอมหนี้ ด้วยการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ผ่านมาตรการ 3 สี คือ ม่วง เหลือง เขียว "ผ่อนน้อย เบาแรง" ได้มากถึง 10,208 ราย คิดเป็นวงเงิน 3,745 ล้านบาท โดยมีมาตรการผ่อนน้อย เบาแรง ชำระครั้งแรก 10% ผ่อนนาน 7 ปี ตัดเงินต้นทั้งจำนวน ดอกเบี้ย 0% มีสัดส่วนสูงถึง 84% มีผู้ใช้บริการสูงสุด
1. เร่งผลักดันการค้ำประกันสินเชื่อ โดย บสย. มีวงเงินค้ำประกันสินเชื่อโครงการ PGS 10 รองรับราว 25,000 ล้านบาท โครงการค้ำประกันสินเชื่อดอกเบี้ยถูก (พ.ร.ก.สินเชื่อฟื้นฟู ระยะที่ 2) มีวงเงินรองรับราว 50,000 ล้านบาท และโครงการค้ำประกันสินเชื่อรายสถาบัน ระยะที่ 7 มีวงเงินรองรับราว 15,000 ล้านบาท
2. เร่งพัฒนาโครงการพัฒนานวัตกรรม บสย. การให้บริการลูกค้าผ่านช่องทาง Digital Platform และพัฒนา Line @tcgfirst เพื่อการเข้าถึงบริการใหม่ อาทิ การจองคิวปรึกษา "หมอหนี้" ผ่าน Line @tcgfirst ตลอด 24 ชั่วโมง
ทั้งนี้ การพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ค้ำประกันสินเชื่อที่สอดคล้องตามการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการดำเนินธุรกิจ และเทรนด์ผู้ประกอบการ SMEs ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น ในกลุ่ม Start up กลุ่มธุรกิจรักษ์โลก และสิ่งแวดล้อม Green Business กลุ่ม ESG การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โครงการพัฒนากระบวนการจัดการการเก็บหนี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารหนี้ และโครงการพัฒนาระบบ TCG Data Management Platform เชื่อมโยงฐานข้อมูลทั้งภายในและภายนอก
3. เร่งยกระดับการเข้าถึงบริการให้คำปรึกษา หมอหนี้ บสย. โครงการพัฒนารูปแบบการให้คำปรึกษาทางการเงิน ศูนย์ที่ปรึกษาทางการเงิน SMEs (บสย. F.A. Center) และโครงการการให้บริการ Credit Mediator เพื่อให้ SMEs เข้าถึงสินเชื่อเพิ่มมากขึ้น
นายสิทธิกร ยังฝากถึงรัฐบาลใหม่ว่าต้องการให้รัฐบาลให้ความสำคัญกับผู้ประกอบการ SMEs เพราะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยสร้างรายได้ให้กับประเทศ ซึ่งการช่วยให้ SMEs สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนและสินเชื่อได้ง่ายขึ้นนั้น จะมีส่วนช่วยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เป็นไปตามทิศทางที่ตั้งไว้ได้
"SME เป็นส่วนสำคัญของประเทศ 32% มีมูลค่าต่อ GDP ดังนั้นการช่วย SMEs ให้เข้าถึงสินเชื่อ และการดูแลสภาพคล่องให้ SME จะเป็นเกราะคุ้มครองให้ระบบเศรษฐกิจสามารถขับเคลื่อนไปได้ตามเป้าหมาย โดย 6 เดือนแรก ที่ บสย.ค้ำประกันสินเชื่อสูงสุด ใน 3 sectorแรก ก็สอดคล้องกับทิศทางของเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นภาคบริการ ภาคเกษตรกรรม และภาคการผลิต" นายสิทธิกรกล่าว
พร้อมกันนี้ หากเป็นไปได้ ก็อยากให้รัฐบาลช่วยเพิ่มเม็ดเงินตามโครงการค้ำประกันสินเชื่อ "บสย. SMEs เข้มแข็ง" (PGS10) อีกเท่าตัว หรือเพิ่มขึ้นอีก 5 หมื่นล้านบาท จากปัจจุบันได้รับวงเงินอยู่ที่ 5 หมื่นล้านบาท ก็จะช่วยให้ SME สามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้ง่ายขึ้น ภายใต้ต้นทุนที่เหมาะสม
"ถ้าช่วยเพิ่มเม็ดเงินการค้ำประกันในโครงการ นี้อีกเท่าตัว หรืออีก 5 หมื่นล้าน ก็จะช่วยทำให้ SMEs ที่ขาดหลักประกันสามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้ง่ายขึ้น เพราะสินเชื่อในระบบ เป็นสินเชื่อที่มีต้นทุนเหมาะสม ไม่เป็นต้นทุนที่สูงเกินกว่าภาระของลูกหนี้" นายสิทธิกร ระบุ