คลัง หั่นประมาณการ GDP ปีนี้เหลือ 3.5% เหตุนักท่องเที่ยวจีนน้อยกว่าคาด

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday July 26, 2023 12:14 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

คลัง หั่นประมาณการ GDP ปีนี้เหลือ 3.5% เหตุนักท่องเที่ยวจีนน้อยกว่าคาด

สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กระทรวงการคลัง ปรับลดประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยในปี 2566 มาอยู่ที่ 3.5% ลดลงเล็กน้อยจากเดิมที่คาดไว้ 3.6% โดยสาเหตุที่ปรับ GDP ลดลง มาจากสมมติฐานรายได้ท่องเที่ยวที่ปรับลดลงมาที่ 1.25 ล้านล้านบาท จากเดิม 1.3 ล้านล้านบาท เนื่องจากโครงสร้างนักท่องเที่ยวต่างชาติเปลี่ยนแปลงไป ส่งผลต่อรายได้ท่องเที่ยวในภาพรวม

"นักท่องเที่ยวจีนยังมาไม่มากเท่าที่มองไว้ แต่กลายเป็นนักท่องเที่ยวมาเลเซียที่เข้ามามากแทน ซึ่งค่าใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวมาเลย์ไม่สูงเท่าของจีน ทำให้ภาพรวม คาดว่ารายได้จากการท่องเที่ยวปีนี้จะลดลงจากเดิมราว 5 หมื่นล้านบาท คือเหลือ 1.25 ล้านล้านบาท จากประมาณการรอบก่อนที่ 1.3 ล้านล้านบาท ในขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งปี ยังคาดไว้เท่าเดิมที่ 29.5 ล้านคน"

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเสี่ยงเรื่องการส่งออกสินค้าที่ชะลอตัวลง โดยคาดว่าในปี 2566 ภาพรวมการส่งออกของไทยจะหดตัว 0.8% ลดลงจากคาดการณ์เดิมที่คาดว่าจะหดตัว 0.5% จากการชะลอลงของเศรษฐกิจจีน ขณะเดียวกันตัวเลขจีดีพีในไตรมาส 1/66 ที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ ประกาศว่าขยายตัวที่ 2.7% นั้น ยังต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ เหล่านี้เป็นปัจจัยรวมที่ทำให้คลังมีการปรับจีดีพีในปีนี้ลดลงเหลือ 3.5%

ส่วนปัจจัยสนับสนุนเศรษฐกิจไทยในปีนี้ นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการ สศค. ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง ระบุว่า ยังมาจากภาคการท่องเที่ยวเป็นหลัก รวมทั้งการบริโภคภาคเอกชน การลงทุนภาคเอกชน และมีการลงทุนภาครัฐเข้ามาช่วยประคองเศรษฐกิจ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากเอเชียที่เพิ่มมากขึ้น โดยปีนี้คาดว่านักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่ 29.5 ล้านคน เติบโต 164.2% ต่อปี และการบริโภคภาคเอกชน ที่คาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่องที่ 4.5% ตามการเพิ่มขึ้นของรายได้และแรงกดดันของอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่คลี่คลายลง โดยปีนี้คาดว่าอยู่ที่ 1.7% เนื่องจากแรงกดดันจากราคาสินค้าในหมวดพลังงานได้คลี่คลายลงตามลำดับ ประกอบกับมาตรการบรรเทาภาระค่าไฟฟ้าของภาครัฐที่ช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชน ตลอดจนการลงทุนภาคเอกชนที่คาดว่าจะขยายตัว 2.6% จากความเชื่อมั่นของเศรษฐกิจในประเทศที่เริ่มกลับมาดีขึ้นตามทิศทางของเศรษฐกิจโดยรวม ไปจนถึงการลงทุนภาครัฐที่ยังมีส่วนช่วยประคอง

สำหรับเสถียรภาพภายนอกประเทศ ดุลบริการมีแนวโน้มจะกลับมาเกินดุล ตามการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 2566 มีแนวโน้มที่จะกลับมาเกินดุล 4.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 0.8% ของ GDP

สมมติฐานสำคัญที่ใช้ในการประมาณการเศรษฐกิจไทย ปี 66 มีดังนี้

1. อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของ 15 ประเทศคู่ค้าหลัก คาดว่าปีนี้ GDP ของ 15 ประเทศคู่ค้าหลักของไทย จะขยายตัวได้ 2.8% เท่ากับประมาณการครั้งก่อน แต่แนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าในช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มดีขึ้น ปัญหาห่วงโซ่อุปทานคลี่คลายลง ราคาอาหารและราคาพลังงานโลกเริ่มปรับเข้าสู่สมดุล อัตราเงินเฟ้อลดลงเข้าสู่กรอบเป้าหมาย แต่ยังต้องติดตามการขึ้นดอกเบี้ยเพื่อดูแลเงินเฟ้อ ซึ่งอาจจะมีผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้

2. อัตราแลกเปลี่ยน คาดว่า ณ สิ้นปีเงินบาทจะเฉลี่ยอยู่ที่ 34.01 บาท/ดอลลาร์ แข็งค่าขึ้น 3% จากปี 65 โดยเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นจากแรงหนุนด้านการท่องเที่ยวที่จะมีรายได้จากการท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้น เศรษฐกิจจีนที่ฟื้นตัวอย่างสม่ำเสมอ หนุนกิจกรรมเศรษฐกิจในภูมิภาค ทำให้มีเงินทุนไหลเข้าตลาดเกิดใหม่

อย่างไรก็ดี ปัจจัยที่อาจจะมีผลกระทบต่อทิศทางค่าเงินบาทในระยะถัดไป คือ นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในการปรับอัตราดอกเบี้ย, เศรษฐกิจโลกที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่, ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ ที่ทำให้นักลงทุนหันไปถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น และทำให้มีเงินไหลออกจากตลาดเอเชียไปสู่ตลาดฝั่งสหรัฐและยุโรป

3. ราคาน้ำมันดิบตลาดดูไบ คาดว่าทั้งปีเฉลี่ยอยู่ที่ 79 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 17.2% จากในปี 65 สำหรับปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ได้แก่ กำลังการผลิตน้ำมันของตลาดโลก ความเสี่ยงของเศรษฐกิจจีนที่อาจเข้าสู่ภาวะเงินฝืด ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก และแรงกดดันทางการค้าระหว่างสหรัฐ และจีน เป็นต้น

4. จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศ โดยคาดว่าปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ เดินทางเข้าไทย 29.5 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 164.2% ในขณะที่คาดว่ารายได้จากการท่องเที่ยวจะอยู่ที่ 1.25 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 243.8% ส่วนค่าใช้จ่ายต่อคนต่อทริป อยู่ที่ 42,545 บาท เพิ่มขึ้น 30.1%

5. รายจ่ายภาคสาธารณะ งบประมาณรายจ่ายปี 66 ที่ 3.18 ล้านล้านบาท คาดว่าจะเบิกจ่ายได้ 3 ล้านล้านบาท คิดเป็นอัตราการเบิกจ่าย 94.3% แบ่งเป็น การเบิกจ่ายงบรายจ่ายประจำ 2.5 ล้านล้านบาท, เบิกจ่ายงบลงทุน 4.6 แสนล้านบาท, เบิกจ่ายงบเหลื่อมปี 1.8 แสนล้านบาท และเบิกจ่ายงบลงทุนรัฐวิสาหกิจ 2.6 แสนล้านบาท

*แนวโน้มครึ่งปีหลัง

สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปี 2566 มองว่า หากนักท่องเที่ยวจีนมาตามนัด ก็จะช่วยทำให้การท่องเที่ยวขยายตัวได้ตามเป้าหมาย ซึ่งจากการหารือเบื้องต้นกับผู้ประกอบการสายการบิน พบว่า มีการขยายเส้นทางการบินไปจีนเพิ่มขึ้น 100% ทั้งความถี่ต่อสัปดาห์ จาก 17 เที่ยวบิน เป็น 35 เที่ยวบิน รวมถึงขยายเมืองเพิ่มขึ้นด้วย เป็นตัวสะท้อนว่านักท่องเที่ยวจีนจะยังเดินทางเข้าไทยอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าอาจจะไม่เร็วนัก ขณะที่แนวโน้มเศรษฐกิจในไตรมาส 2/2566 คงต้องรอประกาศจากทางสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย ซึ่งต้องติดตามอย่างใกล้ชิด มีดังนี้

1) ความต่อเนื่องในการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากประเทศหลัก ๆ เช่น จีน มาเลเซีย เกาหลีใต้ อินเดีย และรัสเซีย

2) สถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ส่งผลต่อทิศทางเงินเฟ้อในประเทศ

3) สถานการณ์เศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาและเศรษฐกิจจีน

4) ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์โลกในภูมิภาคต่าง ๆ เช่น ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน การแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลก และการค้าระหว่างประเทศ

*หากตั้งรัฐบาลล่าช้ากว่า 6 เดือน คาดกระทบ GDP -0.07%

นายพรชัย กล่าวถึงกรณีที่มีการตั้งรัฐบาลใหม่ได้ล่าช้าถึง 9 เดือน คาดว่าจะส่งผลกระทบกับการขยายตัวของเศรษฐกิจราว -0.07% จากกรณีฐาน จากก่อนหน้านี้ที่คาดว่าจะกระทบกับเศรษฐกิจ -0.05% หากมีการตั้งรัฐบาลใหม่ล่าช้า 6 เดือน ซึ่งหากเหตุการณ์เป็นไปในลักษณะดังกล่าว หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงคลัง สำนักงบประมาณ สภาพัฒน์ และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะต้องมีการหารือกันอีกครั้ง เพื่อกำหนดแนวนโยบายเกี่ยวกับการใช้งบประมาณเก่าที่เดิมได้มีการวางแผนใช้ไปพลางก่อน เพราะก่อนหน้านี้สำนักงบประมาณได้ออกหลักเกณฑ์ในการใช้งบเก่าไปพลางก่อนไว้สำหรับกรณีล่าช้า 6 เดือนเท่านั้น ดังนั้นหากหลัง 1 ต.ค. สถานการณ์ยังไม่ชัดเจน สำนักงบประมาณก็ต้องมีการปรับปรุงหลักเกณฑ์เพิ่มเติม

"เราคาดการณ์ไว้ว่าจะมีการใช้งบประมาณปี 2567 ล่าช้าราว 6 เดือน ซึ่งมีส่วนกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจราว -0.05% จากความไม่ชัดเจนทางการเมือง ซึ่งจะมีผลต่อมิติเรื่องรายจ่ายภาคสาธารณะเป็นหลัก ส่วนกรณีที่หากการเมืองล่าช้าเป็น 10 เดือนนั้น ยอมรับว่าเป็นคำถามที่ตอบยาก เพราะยังไม่ได้คุยกับสำนักงบประมาณถึงจุดนั้น แต่หากดูตามข้อมูลเปรียบเทียบโดยเอาการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2566 จนถึงเดือนที่ 9 พบว่า มีการเบิกจ่ายงบรายจ่ายประจำไปแล้ว 2.08 ล้านล้านบาท ขณะที่รายจ่ายลงทุน ในส่วนที่ได้ผูกพันไว้แล้ว เบิกจ่ายได้ 1.3 แสนล้านบาท ส่วนปีงบ 2567 ผูกพันไว้ 1.5 แสนล้านบาท หากดูตามภาพเปรียบเทียบนี้ ก็เชื่อว่าปีงบ 2567 น่าจะเบิกจ่ายงบรายจ่ายประจำ และงบลงทุน ผูกพันได้สูสีกัน เพราะการเบิกจ่ายภาครัฐยังทำได้ต่อเนื่อง ไม่ได้หยุดทำงาน ส่วนราชการทำงานเต็มที่ ดังนั้นแม้ว่าจะมีความล่าช้าของงบปี 2567 แต่ก็จะยังมีงบรายจ่ายประจำและงบลงทุน ที่ผูกพันที่ยังลงสู่ระบบเศรษฐกิจได้" นายพรชัย กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ