บมจ.บัตรกรุงไทย (KTC) เปิดเวทีเสวนา "ทิศทางอุตสาหกรรมท่องเที่ยว พร้อมทะยานเวทีโลก" ฉายภาพการท่องเที่ยวแบบครบวงจร ผู้ประกอบการสายการบิน โรงแรม บริษัททัวร์ แนะภาครัฐชะลอการเก็บค่าเหยียบแผ่นดินออกไปก่อน ชี้ไม่ใช่เวลาเหมาะสม
นายโชติช่วง ศูรางกูร อุปนายกสมาคมไทยบริการท่องเที่ยว (TTAA) คาดว่า ในปีนี้จะมีจำนวนนักท่องเที่ยวไทย เดินทางออกต่างประเทศประมาณ 7.5 ล้านคน ขณะที่สมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA) รายงานจำนวนเที่ยวบินระหว่างประเทศทั่วโลก (International Flight) ปีนี้จะขยายตัว 70% เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และคาดว่าจะเติบโตเท่ากับก่อนช่วงโควิด-19 ในปีหน้า พร้อมเสนอแนะเรื่องการคลายข้อจำกัดด้านการเก็บค่าเหยียบแผ่นดิน ที่จะเก็บจากนักท่องเที่ยวขาเข้าและการเก็บภาษีจากนักท่องเที่ยวขาออกจากประเทศ รวมถึงการจัดเก็บภาษีที่ซ้ำซ้อน (VAT on Outbound)
สำหรับการเก็บค่าเหยียบแผ่นดิน ที่เลื่อนเก็บจากเดือนมิ.ย. เป็น ก.ย. 66 นั้น จากการพูดคุยกับนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา พบว่ายังมีปัญหาเรื่องระบบ ที่ไม่สามารถเลือกปฏิบัติได้ และเรื่อง PDPA ที่ต้องมีการทำประกัน และวิธีการเก็บที่จะให้เก็บจากตั๋วเครื่องบิน
"สมาคมฯ พยายามต่อต้านมาตลอด มองว่าตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมที่จะเก็บค่าเหยียบแผ่นดิน เพราะเศรษฐกิจกำลังฟื้น และมองว่าจุดประสงค์ของการเก็บค่าเหยียบแผ่นดิน ยังไม่ถูกต้อง" นายโชติช่วง กล่าว
ส่วนสถานการณ์ทางการเมือง จะมีผลกระทบต่อภาคท่องเที่ยวหรือไม่นั้น มองว่า จะกระทบลูกค้าหรือนักท่องเที่ยวที่เป็นองค์กรมากกว่า เนื่องจากเศรษฐกิจไม่ชัดเจน ลูกค้าองค์กรก็จะวางแผนลำบาก ส่วนลูกค้าบุคคลมองว่าไม่กระทบ เนื่องจากผู้ที่สามารถเดินทางท่องเที่ยวได้ในขณะนี้ คือกลุ่มคนที่มีเงินอยู่แล้วในระดับหนึ่ง
อย่างไรก็ดี การเดินทางท่องเที่ยวในประเทศจะได้รับผลกระทบ หากมีการชุมนุมทางการเมือง หรือปัญหาการเมืองลากยาวไปถึง 10 เดือน คาดว่าจะกระทบนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เข้าไทย แม้จะเดินทางเข้ามาได้ แต่จะมีจำนวนน้อยลง เนื่องจากประกันไม่ครอบคลุมเรื่องความเสี่ยงทางการเมือง
ทั้งนี้ หากรัฐบาลยังไม่มีความชัดเจน จนลากยาวไปถึง 10 เดือน คาดว่าจะกระทบนักท่องเที่ยวให้ลดลง 20-30% จากเป้าที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ตั้งไว้ เนื่องจากนักท่องเที่ยวที่เป็นกรุ๊ปทัวร์จะหายไป
นายศึกษิต สุวรรณดิษฐกุล นายกสมาคมโรงแรมไทยภาคใต้ และอุปนายกสมาคมโรงแรมไทย (THA) มองว่า จากตัวเลขของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพบว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 25 มิถุนายน 2566 จำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศไทยมีจำนวนทั้งสิ้น 12,464,812 คน เพิ่มขึ้น 539% จากปีก่อน โดยจำนวนนักท่องเที่ยวจากประเทศ 5 อันดับแรก ได้แก่ มาเลเซีย จีน รัสเซีย เกาหลีใต้ และอินเดีย อย่างไรก็ตาม แม้การท่องเที่ยวปรับตัวดีขึ้น แต่ธุรกิจโรงแรมยังอยู่ในภาวะกำลังฟื้นตัว และยังเผชิญกับความท้าทายหลายปัจจัย โดยเฉพาะเรื่องการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ และอาจเป็นตัวแปรในการปรับขึ้นราคาห้องพัก
รวมถึงการการจ้างงานที่ต้องเปลี่ยนรูปแบบ เช่น การใช้วิธีเหมาจ่ายตามปริมาณงาน หรือใช้เทคโนโลยีเข้ามาทดแทนแรงงานมากขึ้น รวมทั้งความผันผวนของเศรษฐกิจโลก อัตราแลกเปลี่ยน และสถานการณ์การเมืองในประเทศ ที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจ โรงแรมขนาดใหญ่อาจมีการปรับราคาลงเพื่อกระตุ้นการเข้าพัก แต่โรงแรมขนาดเล็กไม่สามารถทำแบบนั้นได้ ถ้าเป็นแบบนี้อาจส่งผลให้เกิดสงครามราคาที่ผู้ประกอบการแย่งลูกค้ากันเอง
นายกรกฎ ชาตะสิงห์ ประธานเจ้าหน้าที่สายการบินพาณิชย์ (CCO) บมจ. การบินไทย (THAI) กล่าวถึงการเก็บค่าเหยียบแผ่นดินว่า เรื่องนี้ยังมีข้อจำกัดอยู่มาก สายการบินจึงได้รวมตัวเพื่อพูดคุยกับรมว.ท่องเที่ยวและกีฬา ถึงปัญหาและต้นทุนต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น โดยทางสายการบินไม่อยากให้การเก็บค่าเหยียบแผ่นดินมาพัวพันกับตั๋วเครื่องบิน ประกอบกับมีข้อกังวลว่าหากไทยเก็บค่าเหยียบแผ่นดินนักท่องเที่ยว คนไทยที่เดินทางไปต่างประเทศก็อาจจะโดนเก็บด้วยเช่นกัน
ดังนั้น จากการพูดคุยที่ยังไม่ได้ข้อสรุป ส่งผลให้รัฐจำเป็นต้องเลื่อนการเก็บค่าเหยียบแผ่นดินออกไปก่อน ซึ่งคาดว่าเรื่องนี้น่าจะต้องเป็นหน้าที่ของรัฐบาลหน้าต่อไป
ส่วนการประกาศวันหยุดในระยะเวลาที่กระชั้นชิด มองว่าไม่กระทบการบิน เนื่องจากในประเทศการท่องเที่ยวเป็นช่วงโลว์ซีซันอยู่แล้ว และส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดการเดินทางโดยเครื่องบิน ขณะเดียวกัน ก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงการเดินทางไกล ซึ่งส่วนใหญ่จะเดินทางไปใกล้ๆ เช่น เกาหลี หรือญี่ปุ่น
ส่วนประเด็นเรื่องราคาตั๋วเครื่องบิน เชื่อว่าในปี 67 Supply Side จะดีขึ้น จำนวนที่นั่งจะถูกเติมเต็มมากขึ้น ทำให้เกิด การแข่งขัน ส่งผลให้โอกาสที่ราคาตั๋วจะลดลงมีมากขึ้นด้วย อย่างไรก็ดี ต้องอยู่ในเงื่อนไขที่ราคาน้ำมันไม่สูงเกิน 100 บาร์เรล์/ดอลลาร์ ด้วย
"เชื่อว่าปีหน้าราคาตั๋วจะกลับมาถูกลง เพราะกำลังการผลิตจะเข้ามา แต่ก็ต้องซื้อตั๋วในระยะเวลาที่ไม่กระชั้นชิดเกินไปด้วย เพราะถ้าซื้อแบบกระชั้นชิดราคาก็จะสูง" นายกรกฎ กล่าว
น.ส.เพลินพิศ โกศลยุทธสาร ผู้อำนวยการส่วนกิจกรรมการตลาดด้านการท่องเที่ยว บมจ. การบินกรุงเทพ (BA) หรือสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส มองว่า ธุรกิจท่องเที่ยวในปีนี้จะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลต่อสัญญาณการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการบินที่ค่อนข้างชัดเจน โดยคาดว่าการเดินทางโดยอากาศยานของภูมิภาคเอเชียจะกลับมาขยายตัวได้ 70-80% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด-19
อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมการบินของไทย ยังต้องการการสนับสนุนจากภาครัฐใน 3 เรื่อง ประกอบด้วย 1. การส่งเสริมให้อุตสาหกรรมการบินแข็งแกร่งเพื่อเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำหรับการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ ผ่านการเดินทางและขนส่งสินค้าทางอากาศ 2. ลดผลกระทบต้นทุน โดยภาครัฐควรกำหนดอัตราที่เหมาะสมของการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมัน เพราะมีผลต่อการตั้งราคาบัตรโดยสาร รวมทั้งลดค่าธรรมเนียมวีซ่าเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว และ 3. แก้ปัญหาการขาดแคลนทรัพยากรด้านบุคลากรการบิน ที่ได้รับผลกระทบจากการลดขนาดองค์กรช่วงโควิด-19 ทำให้อุตสาหกรรมการบิน ไม่สามารถกลับมาให้บริการได้เต็มความสามารถ เมื่อเทียบกับอุปสงค์ของการท่องเที่ยว
ส่วนประเด็นค่าเหยียบแผ่นดินนั้น คาดหวังว่าการเก็บค่าเหยียบแผ่นดิน จะไม่มารวมอยู่กับตั๋วเครื่องบิน เพราะสายการบินไม่สามารถแยกได้ว่าจะต้องเก็บใครบ้าง ทั้งนี้ เสนอให้รัฐเก็บผ่านจากตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) หรือใช้แอปพลิเคชันในการเก็บแทน
นอกจากนี้ เรียกร้องให้รัฐบาลใหม่ ช่วยลดผลกระทบต้นทุนของสายการบิน โดยการปรับลดภาษีสรรพสามิตรน้ำมันให้เหมาะสม ขณะเดียวกัน อยากให้ช่วยลดขีดจำกัดหลายๆ อย่างของอุตสาหกรรมการบินไทย รวมถึงสิทธิการบินที่ไม่เสมอภาคด้วย
"เรื่องภาษีน้ำมัน ไม่ได้ขอให้ลดลงไปเหลือ 0.20 บาทเหมือนแต่ก่อน แต่ก็ขอให้ไม่สูงเท่า 5 บาทเหมือนตอนนี้ และถ้าจะปรับขึ้น ก็ขอให้ค่อยๆ ปรับไป" น.ส.เพลินพิศ กล่าว
นายนิติกร คมกฤส ผู้จัดการส่วนพัฒนาธุรกิจสายการบินไทยเวียตเจ็ท กล่าวว่า อุตสาหกรรมการบินกลับมาคึกคัก และแข่งขันกันอีกครั้ง โดยการกำหนดราคาค่าโดยสารยังเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญ สะท้อนจากการงดออกแคมเปญโปรโมชันช่วงนอกฤดูท่องเที่ยว สำหรับปัญหาและอุปสรรคในอุตสาหกรรมการบิน คือ เรื่องทรัพยากรบุคคลตามสนามบินต่างๆ ที่ไม่เพียงพอต่อการปฏิบัติการแต่เชื่อว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของแต่ละประเทศ กำลังพยายามสนับสนุนอุตสาหกรรมการบินให้กลับมาดำเนินการได้
ขณะที่สายการบินไทยเวียตเจ็ท มองเห็นโอกาสจากเส้นทางระหว่างประเทศรอง อาทิ ประเทศอินเดีย ซึ่งมีอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจสูงและนักเดินทางมีศักยภาพ และกลุ่มนักเดินทางช่วงนี้จะเป็น กลุ่มนักเดินทางอายุน้อย ในขณะที่จำนวนนักเดินทางเพื่อธุรกิจปรับลดลง
น.ส.พัทธ์ธีรา อนันต์โชติพัชร ผู้บริหารKTC WorldTravelServiceและการตลาดท่องเที่ยวหมวดสายการบิน"เคทีซี" หรือบมจ. บัตรกรุงไทย (KTC) กล่าวว่า ภาพรวมการใช้จ่ายในหมวดอุตสาหกรรมท่องเที่ยวผ่านบัตรเครดิตเคทีซี ปรับตัวดีขึ้นตามการเติบโตของการท่องเที่ยว โดยครึ่งปีแรกเพิ่มขึ้น 90% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเติบโตขึ้น 25% จากปี 2562 โดยยอดใช้จ่ายผ่านบัตรฯ สูงสุดแยกตามหมวด ได้แก่ สายการบิน เอเย่นต์ท่องเที่ยว (ทั้งออนไลน์และออฟไลน์) โรงแรม รถเช่า-รถไฟ-การเดินทางขนส่ง และแหล่งท่องเที่ยว/กิจกรรมสันทนาการ
นอกจากนี้ หลังการเปิดรับนักท่องเที่ยวในหลายประเทศ ส่งผลให้สมาชิกวางแผนท่องเที่ยวต่างประเทศมากยิ่งขึ้น โดยเรียงลำดับประเทศยอดนิยมดังนี้ ญี่ปุ่น เกาหลี ฝรั่งเศส ฮ่องกง และเวียดนาม ยอดเฉลี่ยการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเคทีซีต่อสมาชิกในหมวดท่องเที่ยวอยู่ที่ 17,000 บาท
ทั้งนี้ KTC World Travel Service ศูนย์บริการการเดินทางและท่องเที่ยวสำหรับสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี ได้เดินหน้ากลยุทธ์การตลาดภายใต้ 3 S ประกอบด้วย
1. Service: การให้บริการด้านการเดินทาง ท่องเที่ยว เน้นความสะดวกสบาย น่าเชื่อถือ โดยสร้างการรับรู้ผ่าน #บินเที่ยวครบจบที่ KTCWorldTravelService
2. Segmentation: การบริหารกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการที่แตกต่างด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยวที่หลากหลาย รวมถึงการขยายช่องทางการสื่อสารในหลายรูปแบบ เพื่อให้เข้าถึงสมาชิกบัตรเครดิตและตอบโจทย์การเดินทางท่องเที่ยวได้มากที่สุด
3. Synergy: การทำงานร่วมกับพันธมิตรหลักครอบคลุมทั้งอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ตั้งแต่ต้นน้ำ ไปถึงปลายน้ำ ไม่ว่าจะเป็นองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศต่างๆ สายการบิน เอเย่นต์ทัวร์ โรงแรม รถเช่า สมาคมท่องเที่ยว และองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยว เพื่อสร้างความแตกต่างผ่านกิจกรรมการตลาดในหลากหลายรูปแบบ พร้อมมอบสิทธิประโยชน์ที่คุ้มค่าในการเดินทางท่องเที่ยวให้กับสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี