นายมนตรี มหาพฤกษ์พงศ์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 31 ในเดือนก.ค. 66 ภายใต้หัวข้อ "ประเด็นกังวลที่กระทบต่อภาคอุตสาหกรรมในครึ่งปีหลัง 66"
ทั้งนี้ ผู้บริหาร ส.อ.ท. ส่วนใหญ่ มองว่า ความล่าช้าในการจัดตั้งรัฐบาลและความขัดแย้งทางการเมืองหลังการเลือกตั้ง เป็นประเด็นสำคัญที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลัง 66 และส่งผลกระทบทำให้ภาคเอกชนชะลอการลงทุน กระทบต่อความเชื่อ มั่นของนักลงทุนต่างชาติ รวมถึงหากการชุมนุมประท้วงของประชาชนทวีความรุนแรงมากขึ้น จะส่งผลกระทบต่อบรรยากาศทางเศรษฐกิจ ที่ ตอนนี้เราต้องอาศัยภาคการท่องเที่ยวเป็นเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
ด้านปัจจัยภายนอกประเทศ ส.อ.ท. ยังคงกังวลกับปัญหาเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยนโยบายในหลายประเทศที่อยู่ในระดับสูง ตลอดจนผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่จะส่งผลทำให้ราคาพลังงานและวัตถุดิบปรับตัวสูงขึ้นอีก โดยเฉพาะช่วงที่จะเข้าสู่ฤดูหนาว ในยุโรปที่จะทำให้ความต้องการพลังงานเพิ่มสูงขึ้น
นอกจากนี้ ผู้บริหาร ส.อ.ท. ประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังเทียบกับครึ่งปีแรก 66 ว่า ยังคงทรงตัวจากต้น ปีจากปัจจัยทั้งในประเทศและต่างประเทศ ที่ยังคงกดดันเศรษฐกิจไทย
ดังนั้น ผู้บริหาร ส.อ.ท. คาดหวังว่ารัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศ จะให้ความสำคัญกับการสร้างกลไกให้ภาค เอกชนมีส่วนในการปรับปรุงกฎหมาย กฎระเบียบในทุกระดับ โดยเฉพาะวิธีการปฏิรูปกฎหมายเพื่อเพิ่มการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP growth)
รวมทั้งเร่งแก้ไขปัญหาหนี้สินของ SMEs และหนี้ครัวเรือนที่มีความเสี่ยงจะเป็นหนี้เสีย (NPL) เพื่อทำให้เกิดการ แก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน ลดภาระผู้ประกอบการรายเล็ก และช่วยเสริมสร้างสภาพคล่องด้านการเงินในระบบ เศรษฐกิจไทย
สรุปผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 31 ดังนี้
1. ภาคอุตสาหกรรมมีความกังวลต่อประเด็นที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกในครึ่งปีหลังเรื่องใด (Multiple choices)
อันดับที่ 1 : ปัญหาเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยนโยบายในหลายประเทศที่อยู่ระดับสูง 78.3%
ส่งผลทำให้ความต้องการสินค้าลดลง
อันดับที่ 2 : สงครามรัสเซีย-ยูเครนที่อาจทวีความรุนแรงมากขึ้น รวมทั้งท่าทีของสมาชิก 58.5%
NATO ที่ส่งผลทำให้ราคาพลังงานและวัตถุดิบปรับตัวสูงขึ้น
อันดับที่ 3 : เศรษฐกิจจีนชะลอตัวหลังเปิดประเทศ และความเสี่ยงวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ 51.2%
อันดับที่ 4 : ผลกระทบจากภาวะโลกร้อน การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ 39.1%
2. ภาคอุตสาหกรรมมีความกังวลต่อปัจจัยภายในประเทศที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลังเรื่องใด (Multiple choices)
อันดับที่ 1 : ความล่าช้าในการจัดตั้งรัฐบาล และความขัดแย้งทางการเมือง 81.0%
หลังการเลือกตั้ง
อันดับที่ 2 : ต้นทุนการผลิตที่อยู่ในระดับสูงทั้งจากค่าไฟฟ้า พลังงาน ราคาวัตถุดิบ 76.4%
และค่าขนส่ง
อันดับที่ 3 : กำลังซื้อของประชาชนที่ชะลอตัวจากหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง 64.3% อันดับที่ 4 : อัตราดอกเบี้ยขาขึ้นที่ส่งผลต่อต้นทุนทางการเงิน และปัญหา NPL 54.7%
ที่เพิ่มมากขึ้น
3. ภาคอุตสาหกรรมมีความกังวลต่อสถานการณ์ทางการเมือง และการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ที่อาจล่าช้าในเรื่องใด (Multiple choices)
อันดับที่ 1 : การชุมนุมประท้วงของประชาชน และความเสี่ยงที่จะเกิด 69.8%
การใช้ความรุนแรง
อันดับที่ 2 : ภาคเอกชนชะลอการลงทุน และกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ 66.7%
อันดับที่ 3 : ความล่าช้าในการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชน 65.1% อันดับที่ 4 : ความเสี่ยงในการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี 67 ที่ล่าช้า 56.6%
จนส่งผลกระทบต่อโครงการต่างๆ
4. สิ่งที่รัฐบาลใหม่ต้องรีบดำเนินการเพื่อเตรียมความพร้อมในการขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรม (Multiple choices)
อันดับที่ 1 : สร้างกลไกให้ภาคเอกชนมีส่วนในการปรับปรุงกฎหมาย 68.6%
กฎระเบียบในทุกระดับ
อันดับที่ 2 : เร่งแก้ไขปัญหาหนี้สินของ SMEs และหนี้ครัวเรือนที่มีความเสี่ยง 57.8%
จะเป็นหนี้เสีย (NPL)
อันดับที่ 3 : บูรณาการความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษา 57.8%
ในการแก้ไขปัญหาแรงงานทั้งระบบ
อันดับที่ 4 : เร่งตั้งคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน (กรอ.) ด้านพลังงาน 55.4%
เพื่อพิจารณาปรับโครงสร้างพลังงานของประเทศ
5. ภาคอุตสาหกรรมประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลัง เทียบกับครึ่งปีแรก 66 ไว้อย่างไร
อันดับที่ 1 : ทรงตัว 52.0% อันดับที่ 2 : แย่ลง 43.0% อันดับที่ 3 : ดีขึ้น 5.0%