ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้แนะลูกค้าเพิ่มน้ำหนักลงทุนในตราสารหนี้ รับผลตอบแทนเด่น โดยอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้อายุ 10 ปีของสหรัฐฯ ปัจจุบันให้ผลตอบแทนสูงถึง 3.8% ขณะที่หุ้นเตรียมปรับลงจาก 3 ปัจจัยรุมเร้า คือ 1.เศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอลง 2.อัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ (Bond yield) ที่กลับมาอยู่ในระดับสูง และ 3.สภาพคล่องลดลง
นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) มองว่าตลาดหุ้นทั่วโลกโดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในช่วงครึ่งปีหลังจะถูกกดดันจาก 3 ประเด็น ได้แก่ 1. เศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอลง 2. อัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ (Bond yield) ที่กลับมาอยู่ในระดับสูง และ 3. สภาพคล่องลดลง
3 ปัจจัยลบดังกล่าวคาดว่าจะทำให้ช่วงสิ้นปี 66 ดัชนี S&P500 จะลงมาซื้อขายที่ระดับ 4,250 จุดจากปัจจุบันอยู่ที่ 4,567 จุด ดังนั้น จึงแนะนำให้ลดการลงทุนในหุ้น และเพิ่มการลงทุนในสินทรัพย์ที่น่าสนใจอย่างตราสารหนี้ เพื่อเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนสูงถึง 3.8% ต่อปี
"เมื่อเปรียบเทียบกับสินทรัพย์อื่น TISCO ESU มองว่าตราสารหนี้มีความน่าสนใจจากกระแสรายรับดอกเบี้ยที่สม่ำเสมอ และมีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากส่วนต่างของราคา (Capital gains) ตามเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัวในระยะกลาง โดยปัจจุบัน Bond yield อายุ 10 ปีของสหรัฐฯ ให้ผลตอบแทนสูงถึง 3.8% ต่อปี ในขณะที่คาดการณ์ผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้น (Earnings yield) ของ S&P500 ซึ่งเป็นส่วนกลับของค่า Forward P/E ลดลงมาต่ำกว่า 5% ส่วนต่างของคาดการณ์ผลตอบแทน (Earnings yield gap) ลดลงมาอยู่ที่ 1.2% ต่ำสุดในรอบเกือบ 20 ปี ชี้ว่าตลาดอาจมีมุมมองที่ดีต่อตลาดหุ้นมากเกินไป และให้ค่าความเสี่ยงจากการลงทุนในตลาดหุ้นต่ำเกินไป ดังนั้น จึงแนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตราสารหนี้" นายคมศร กล่าว
ปัจจัยลบของหุ้นทั่วโลก 3 ปัจจัย นั้น มีดังนี้ ปัจจัยแรก คือ ด้านเศรษฐกิจ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาถูกหนุนโดยภาคบริการที่ยังโตแข็งแกร่งจากเงินออมส่วนเกิน ซึ่งได้รับอานิสงส์จากมาตรการช่วยเหลือภาครัฐฯ เช่น การแจกเงินให้เปล่ากับประชาชนในช่วงที่มีการระบาดของโควิด ทำให้ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาแม้เศรษฐกิจจะเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อสูง ราคาสินค้าปรับเพิ่มขึ้นมาก แต่เงินออมสะสมยังมากกว่าปกติ อย่างไรก็ตาม TISCO ESU ประเมินว่าเงินออมส่วนเกินนั้นจะหมดลง ซึ่งจะทำให้การบริโภคโดยเฉพาะภาคบริการอ่อนแอลงในช่วงครึ่งหลังของปี
ปัจจัยลบประการที่สองได้แก่ Bond yield ที่กลับมาเพิ่มขึ้น หลังจากลงไปทำจุดต่ำสุดในช่วงไตรมาส 2 ที่ 3.2% ประเมินว่าถึงแม้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะหยุดขึ้นดอกเบี้ยเร็วๆ นี้ แต่ก็ยังจะส่งสัญญาณคงดอกเบี้ยที่ระดับสูงอย่างต่อเนื่องไปอีกระยะ ซึ่งจะทำให้ Bond yield ทรงตัวที่ระดับใกล้เคียง 4% ไปตลอดทั้งปี และเป็นแรงกดดันต่อมูลค่าหุ้น (Valuation) ในช่วงครึ่งหลังของปี
และปัจจัยลบประการสุดท้าย ได้แก่ สภาพคล่องที่มีแนวโน้มลดลงจากทั้งการออกพันธบัตรเป็นจำนวนมากเพื่อชดเชยเงินคงคลังของสหรัฐหลังปัญหาเพดานหนี้จบลง ประกอบกับการถอนสภาพคล่องออกจากระบบของทั้งเฟด และ ธนาคารกลางยุโรป (ECB) รวมไปถึงความเสี่ยงจากการปรับเปลี่ยนนโยบาย Yield curve control ของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) ให้เข้มงวดขึ้นอีกด้วย