นายอนุสรณ์ ธรรมใจ กรรมการวิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดเผยว่า ผลกระทบลดอันดับเครดิตพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ยังจำกัด ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับฐานลงระยะสั้น แม้การทรุดตัวลงของราคาหุ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมาหลังประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือจะลดลงต่ำสุดตั้งแต่เดือน มี.ค.ก็ตาม แต่ตัวเลขเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี การจ้างงานอ่อนตัวลงเล็กน้อย การใช้จ่ายของผู้บริโภคและผลิตภาพเพิ่มขึ้นแข็งแกร่ง การคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเผชิญภาวะถดถอยในช่วงไตรมาสแรกปีหน้าและน่าจะเริ่มทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมายังมีความไม่แน่นอน ต้องดูตัวเลขเศรษฐกิจไปอีกระยะหนึ่ง ส่วนการปรับลดอันดับเครดิตพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ นั้นอาจทำให้เกิดภาวะเงินตึงตัวเล็กน้อย อัตราดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้นบ้าง และไม่น่าจะมีผลกระทบอะไรรุนแรง
สิ่งที่ต้องติดตาม คือ การล้มละลายของธนาคารขนาดเล็กและขนาดกลางในสหรัฐฯ ยังคงเกิดขึ้นอยู่ ล่าสุดธนาคาร Heartland Tri-State Bank ในแคนซัส ล้มละลายถูกเข้าควบคุมกิจการโดยสถาบันประกันเงินฝากและถูกเข้าซื้อกิจการ โดยธนาคาร Dream First Bank of Syracuse
อย่างไรก็ตาม ไม่มีภาวะตื่นตระหนกหรือการลุกลามของผลกระทบการปิดกิจการของธนาคาร Heartland Bank เพราะทางการได้เข้าแทรกแซงทันทีทำให้การทำธุรกรรมของลูกค้าของธนาคารยังทำได้ตามปรกติและมีการเทคโอเวอร์กิจการโดยธนาคารอีกแห่งหนึ่งในทันที หนี้สาธารณะของสหรัฐฯ นั้นเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ฐานะการคลังถดถอยลงตามลำดับ มีความจำเป็นมีแผนการปฏิรูปงบประมาณให้ลดการขาดดุล หากเกิดวิกฤตการณ์ระบบสถาบันการเงินขึ้นมาในอนาคต สหรัฐฯ จะมีข้อจำกัดทางการคลังอย่างมากในการแก้วิกฤต
นายอนุสรณ์ กล่าวว่า ปัญหาความอ่อนแอของธนาคารขนาดเล็กและขนาดกลางของสหรัฐฯ นั้นไม่มีผลกระทบต่อระบบสถาบันการเงินของโลกและของไทย ส่วนใหญ่เป็นธนาคารในระดับท้องถิ่นระดับมลรัฐเท่านั้น เพราะธนาคารที่ล้มลงมีความเสี่ยงเชิงระบบต่อระบบการเงินโลกน้อยมาก ขณะที่ธนาคารพาณิชย์ไทยที่มีนัยต่อความเสี่ยงเชิงระบบในประเทศ ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ล้วนมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง จึงไม่มีอะไรที่น่าวิตกกังวล ในทางตรงกันข้ามคาดว่า สถาบันการเงินเหล่านี้จะมีผลการดำเนินการดีขึ้นอีกในช่วงครึ่งปีหลัง จากอัตราการขยายตัวของสินเชื่อเพิ่มขึ้นและมีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยมากขึ้นอีกด้วย โดยคาดแบงก์พาณิชย์ไทยจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในสัปดาห์นี้ตามอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จะทำให้ต้นทุนทางการเงินของภาคธุรกิจและครัวเรือนสูงขึ้น ควรต้องเพิ่มสัดส่วนหนี้ภาคธุรกิจให้สูงกว่าภาคครัวเรือน เนื่องจากหนี้ธุรกิจจะเป็นหนี้เกี่ยวเนื่องกับการลงทุนที่ทำให้เกิดรายได้ในอนาคต ส่วนหนี้ครัวเรือนส่วนใหญ่ยังเป็นหนี้เพื่อการบริโภคหรือผ่อนชำระบ้าน
การปรับสัดส่วนหนี้เอกชนต่อหนี้ครัวเรือนให้สูงขึ้นจะทำให้สถานการณ์หนี้สินของประเทศโดยรวมดีขึ้น เพราะหนี้จากการลงทุนของภาคเอกชนหมายถึงการจ้างงานและรายได้เพิ่มขึ้นในอนาคต ทางการควรทยอยลดการค้ำประกันหนี้ที่ก่อโดยรัฐวิสาหกิจที่มีประสิทธิภาพต่ำ ดึงให้อัตราดอกเบี้ยให้กลับมาอยู่ในระดับปรกติ เพื่อลดการสะสมภาวะเสี่ยงภัยทางศีลธรรม (Moral Hazard) เพิ่มขึ้นในอนาคต อาจทำให้กลไกตลาดในระบบการเงินด้อยประสิทธิภาพลง การทำธุรกรรมทางการเงิน การลงทุน ที่ผู้ให้บริการ (สถาบันการเงิน) และผู้ใช้บริการ (ลูกค้าสถาบันการเงิน) มีข้อมูลไม่เท่ากันหรือมีความไม่สมมาตรของข้อมูล (Asymmetric Information) อยู่แล้ว ก็จะมีการใช้ข้อมูลเพื่อเอาเปรียบกันเพิ่มขึ้นในอนาคต การสร้างความได้เปรียบในลักษณะ Adverse Selection จากความไม่สมมาตรของข้อมูลจะทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียเปรียบในการทำธุรกรรมตลอดเวลา ผู้ฝากเงิน นักลงทุน การลงทุนของรัฐวิสาหกิจ ของธนาคารก็จะมีความระมัดระวังน้อยลง เพราะมีความคาดหวังหากเกิดปัญหาขึ้นก็จะมีรัฐบาล หรือธนาคารกลาง เข้ามาประกันความเสี่ยงให้ทั้งหมด ก็จะทำให้คนเหล่านี้ทำอะไรเสี่ยงๆ เพื่อให้ได้ผลตอบแทนสูงๆ หากไม่มีปัญหาก็รับผลตอบแทนสูงๆ ไป หากมีปัญหาก็จะนำเงินสาธารณะมาอุ้มเอาไว้ทุกครั้ง วิกฤตการเงินก็จะเกิดขึ้นได้อีกเป็นระยะๆ ตามวงรอบของพฤติกรรมเหล่านี้
การมีสถาบันคุ้มครองเงินฝากและลดความคุ้มครองเงินฝากเหลือ 1 ล้านบาทตั้งแต่เดือน ส.ค.64 ที่มีผู้ฝากเงินต่ำกว่า 1 ล้านบาท คิดเป็น 98.03% ของผู้ฝากทั้งระบบ การลดความคุ้มครองดังกล่าวยังคงครอบคลุมผู้ฝากเงินส่วนใหญ่เกือบทั้งหมด มีผู้ฝากเงินเพียง 2% ที่ต้องรับผิดชอบเงินฝากเกิน 1 ล้านบาทเองหากธนาคารเกิดล้มละลายในอนาคต การดำเนินการเช่นนี้จะช่วยลดภาระทางการคลังและภาษีของประชาชนหากเกิดวิกฤติการเงินในอนาคต จึงเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อระบบการเงินและเศรษฐกิจโดยรวม ลดปัญหาภาวะเสี่ยงทางศีลธรรม (Moral Hazard) ที่มักเกิดขึ้นเสมอในระบบการเงิน รวมทั้งลดความเสียหายทางการคลังจากการชดเชยผู้ฝากเงินและเจ้าหนี้ในระบบสถาบันการเงิน
ขณะที่มีปัจจัยเสี่ยงการเมืองเพิ่มขึ้นหลังเลื่อนเลือกนายกรัฐมนตรี กระทบการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ตลาดการเงินผันผวน หลายบริษัททบทวนแผนระดมทุนขายหุ้นไอพีโอออกไปก่อนจนกว่าจะมีความชัดเจนเรื่องการจัดตั้งรัฐบาล บางบริษัทวางแผนเลื่อนยาวไปจนถึงปี 2568 นอกจากนี้การแทรกแซงการเลือกนายกรัฐมนตรีของวุฒิสภาและองค์กรอิสระ ยังทำให้เกิดความสับสนในหมู่นักลงทุนต่างชาติและสถาบันการลงทุนระหว่างประเทศ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยไปแล้วกว่า 55,000 ล้านบาทหลังการเลือกตั้ง 14 พ.ค.66 ตอนนี้เศรษฐกิจไทยขับเคลื่อนได้จากการท่องเที่ยวเป็นหลัก ภาคการลงทุนโดยเฉพาะการลงทุนขนาดใหญ่ยังรอดูความชัดเจนทางการเมือง