พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม พร้อมด้วย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รักษาราชการแทน รมว.คมนาคม และคณะผู้บริหารหน่วยงานเกี่ยวข้อง ได้เดินทางลงพื้นที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ บมจ. ท่าอากาศยานไทย (AOT) หรือ ทอท. เพื่อตรวจความคืบหน้าโครงการต่างๆ ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง และที่เตรียมจะเปิดให้บริการ
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า การตรวจเยี่ยมครั้งนี้ เป็นการติดตามความคืบหน้าการก่อสร้างโครงการต่างๆ ภายใต้แผนพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ 2 ซึ่งประกอบด้วยหลายโครงการที่รัฐบาลได้ให้ความสำคัญ สนับสนุน และติดตามความคืบหน้ามาโดยตลอด แต่ที่ให้ความสำคัญวันนี้ คือส่วนของอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (SAT-1) ซึ่งพบว่าในภาพรวมเป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยตัวอาคารได้มีการก่อสร้างแล้วเสร็จ และได้มีการติดตั้งระบบและสิ่งอำนวยความสะดวกครบถ้วนแล้ว
สำหรับระบบขนส่งผู้โดยสารอัตโนมัติ (Automated People Mover: APM) ซึ่งเป็นรถไฟฟ้าระบบล้อยางแบบไร้คนขับ ซึ่งจะทำหน้าที่ในการรับ-ส่งผู้โดยสาร ระหว่างตัวอาคารผู้โดยสารหลักกับอาคาร SAT-1 และครั้งนี้ทางคณะก็ได้ทดลองใช้บริการด้วย ก็มีความพร้อมสำหรับให้บริการเช่นเดียวกัน โดยผู้บริหารของ ทอท. ได้รายงานให้ทราบระหว่างการลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมว่าทั้งอาคาร SAT-1 ระบบ APM ตลอดจนสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ นี้ จะเปิดให้บริการ แบบ Soft opening ในปลายเดือน ก.ย.นี้ ก่อนเปิดให้บริการอย่างเต็มรูปแบบในปี 2567 เป็นต้นไป ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารให้กับท่าอากาศยานสุวรรณภูมิจาก 45 ล้านคนต่อปี เป็น 60 ล้านคนต่อปีต่อไป
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า อีกโครงการที่ทางคณะได้ติดตามความคืบหน้าวันนี้ คือ การพัฒนาทางวิ่ง หรือรันเวย์ เส้นที่ 3 ซึ่งพบว่ามีการก่อสร้างไปแล้วกว่า 73% คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จในเดือนก.ย. 66 และมีแผนจะเปิดใช้งานในเดือน ก.ค. 67 ซึ่งจะทำให้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ สามารรองรับปริมาณการจราจรทางอากาศเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน 68 เที่ยวบินต่อชั่วโมง เป็น 94 เที่ยวบินต่อชั่วโมง
"การเปิดใช้งานอาคาร SAT-1 การก่อสร้างรันเวย์ เส้นที่ 3 และโครงการอื่นๆ ในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นอกจากจะเป็นการวางพื้นฐานที่เข้ามาช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวของประเทศแล้ว ยังเป็นการรองรับการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมการบินของประเทศในอนาคต ทำให้ไทยมีศักยภาพในการแข่งขัน สามารถรองรับนักเดินทางจากทั่วโลกให้ได้รับความสะดวก รวดเร็ว และสร้างความประทับใจแก่ผู้เดินทางที่เดินทาง มาเยือนประเทศไทยทั้งในปัจจุบันและอนาคตต่อไป" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะ ได้ตรวจเยี่ยมโดยเดินทางออกจาก Main Terminal ตามเส้นทางผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ และออกยังอาคาร SAT-1 โดยระบบขนส่งผู้โดย ระบบ APM ซึ่งเป็นรถไฟฟ้าระบบล้อยางแบบไร้คนขับ สามารถรับ-ส่งผู้โดยสาร ใช้ระยะเวลาประมาณ 3 นาที (รวมระยะเวลาโดยสาร และเวลารอคอย) สามารถรองรับผู้โดยสารได้สูงสุด 210 คนต่อขบวน เมื่อถึงแล้วทางคณะได้ตรวจเยี่ยมส่วนต่างๆ ตลอดความพร้อมของสิ่งอำนวยความสะดวกและระบบต่างๆ ภายในตัวอาคาร SAT-1
สำหรับการก่อสร้างอาคาร SAT-1 นั้น ใช้เป็นระบบ Modular ที่สามารถก่อสร้างได้รวดเร็วและใช้วัสดุที่ดูแลรักษาได้ง่าย คำนึงถึงการออกแบบอาคารที่ยั่งยืน เพื่อช่วยให้ประหยัดพลังงาน บริเวณโดยรอบอาคาร SAT-1 มีหลุมจอดประชิดอาคารทั้งหมด 28 หลุมจอด สามารถจอดอากาศยานขนาด Code F (เช่น A380 และ B747-8 ) ได้ 8 หลุมจอด และอากาศยานขนาด Code E (เช่น B747 และ A340 )ได้ 20 หลุมจอด
ส่วนภายในตัวอาคาร SAT-1 มีพื้นที่ใช้สอยรวม 216,000 ตารางเมตร ตัวอาคารมีความสูง 4 ชั้น ประกอบด้วย ชั้น G เป็นพื้นที่สำหรับระบบสายพานลำเลียงกระเป๋าสัมภาระ และพื้นที่สำนักงาน, ชั้น 2 เป็นพื้นที่สำหรับผู้โดยสารขาเข้า และพื้นที่สำหรับผู้โดยสารเชื่อมต่อเที่ยวบิน, ชั้น 3 เป็นพื้นที่สำหรับผู้โดยสารขาออก มีพื้นที่พักคอยสำหรับผู้โดยสารรอขึ้นเครื่อง เป็นแบบ Open Gate และมีร้านค้าตลอดแนวทางเดิน และชั้น 4 เป็นพื้นที่สำหรับห้องรับรองสายการบิน นอกจากนี้ มีชั้นใต้ดินอีก 2 ชั้น ประกอบด้วย ชั้น B2 เป็นพื้นที่สำหรับสถานีขนส่งระบบ APM และชั้น B1 เป็นพื้นที่ห้องงานระบบ
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สำหรับสถาปัตยกรรมภายในอาคาร SAT-1 ได้มีการออกแบบให้สอดคล้องกับอาคารผู้โดยสารหลัก หรือ Main Terminal โดยได้มีการผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรม ศิลปะที่สะท้อนเอกลักษณ์ความเป็นไทยให้กลมกลืนไปกับโครงสร้างอาคารที่ทันสมัย โดยมีผลงานการตกแต่งชิ้นเอกเป็นช้างคชสาร ตั้งอยู่บริเวณโถงกลางของชั้น 3 ซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับผู้โดยสารขาออก ส่วนปลายอาคารทั้ง 2 ด้าน คือทิศตะวันออกและทิศตะวันตกติดตั้งสุวรรณบุษบก และรัตนบุษบก ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานองค์พระพุทธปฏิมา ปางมารวิชัย และปางเปิดโลก โดยถอดแบบมาจากวัดผาซ่อนแก้ว เพื่อความเป็นสิริมงคลต่อสถานที่ เป็นขวัญและกำลังใจต่อผู้ปฏิบัติงานและผู้เดินทาง
นอกจากนี้ บริเวณชั้น 3 ของอาคาร ยังได้รับการออกแบบให้เป็นสวน ตกแต่งด้วยสัตว์หิมพานต์ ตามคติความเชื่อไทยแต่โบราณ อาทิ กินนร, กินรี, เหมราช และหงส์สา ส่วนชั้น 2 ซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับผู้โดยสารขาเข้า ได้ออกแบบเป็นสวนสัญจรผ่าน จัดแสดงงานภูมิ ทัศน์ผสมผสานกับศิลปวัฒนธรรมของไทย เช่น หุ่นละครเล็ก, หนังใหญ่, หัวโขน, ว่าวไทย เป็นต้น ส่วนห้องน้ำภายในอาคารก็มีความโดดเด่นด้วยการนำเอกลักษณ์หรือลักษณะเด่นทั้ง 4 ภาคของประเทศไทย รวมถึงประเพณีวัฒนธรรมของไทยมาใช้ออกแบบรูปลักษณ์ภายใน ขณะที่สุขภัณฑ์ทั้งหมดได้ใช้ระบบอัตโนมัติเพื่อช่วยในการประหยัดน้ำ
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีและคณะ ได้รับฟังการสรุปความคืบหน้าการก่อสร้างรันเวย์ เส้นที่ 3 ซึ่งตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของท่าอากาศยาน มีความยาวของทางวิ่ง 4,000 เมตร ขณะนี้มีความคืบหน้าในการก่อสร้าง 73% กำหนดการแล้วเสร็จในเดือนก.ย. 66 และเปิดให้บริการเดือนก.ค. 67 ซึ่งจะทำให้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มีประสิทธิภาพในการรองรับปริมาณการจราจรทางอากาศเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน 68 เที่ยวบินต่อชั่วโมง เป็น 94 เที่ยวบินต่อชั่วโมง