นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาภาคเอกชนติดตามความคืบหน้าการจัดตั้งรัฐบาลอย่างใกล้ชิด และเห็นทิศทางที่ชัดเจนมากขึ้น เมื่อพรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำจัดตั้งรัฐบาลสามารถรวบรวมเสียงได้เพิ่มขึ้นเป็นลำดับ
นายสนั่น กล่าวว่า ปัจจุบันทราบว่ามีการรวมเสียงจากพรรคร่วมรัฐบาล รวม 9 พรรค และคาดว่าจะมีพรรคการเมือง และ สว.ให้การสนับสนุนเพิ่มเติม จนสามารถโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีที่มาจากแคนดิเดตพรรคเพื่อไทยได้ แต่สิ่งสำคัญ คือเสถียรภาพของรัฐบาลที่จะต้องมีเสียงเพียงพอและเข้มแข็ง เพื่อให้การขับเคลื่อนนโยบายเป็นไปอย่างราบรื่น และมีความต่อเนื่อง
ทั้งนี้ หากพิจารณาจากสถานการณ์ในปัจจุบัน หอการค้าไทย ยังมีความมั่นใจว่า ประเทศน่าจะมีรัฐบาลชุดใหม่ได้ในกรอบของ ส.ค.-ก.ย. 66 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ไม่ช้าเกินไป โดยมองว่าไทยควรมีรัฐบาลชุดใหม่ให้เร็วที่สุด
"ปัจจุบัน ประเทศมีประเด็นความท้าทายสำคัญหลายประการ ทั้งจากสภาวะเศรษฐกิจที่ไทยกำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัวขึ้น การลงทุนยังคง wait and see ท่ามกลางความผันผวน ไม่แน่นอน และมีแนวโน้มว่าเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวลง รวมถึงภาวะสงครามที่เกิดขึ้น ทั้งหมดนี้ถือเป็นความเสี่ยงรอบด้านของเศรษฐกิจไทยที่กำลังเผชิญอยู่" นายสนั่น ระบุ
1. ข้อเร่งด่วนที่รัฐบาลใหม่จำเป็นต้องดูแลทันที คือ การแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชน ผ่านนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ นโยบายลดค่าครองชีพให้แก่ประชาชน และลดต้นทุนภาคเอกชนทั้งค่าน้ำมันเชื้อเพลิง ค่าไฟฟ้า ที่ยังอยู่ในระดับสูง และการเผชิญกับปัญหาภาคการส่งออกที่ชะลอตัวติดลบต่อเนื่อง 8-9 เดือน
นอกจากนี้ รัฐบาลใหม่จำเป็นต้องเร่งเสริมความโดดเด่นภาคการท่องเที่ยว ที่เป็นเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทยในไตรมาสสุดท้าย และถือเป็นช่วงไฮซีซันของปี ทั้งการอำนวยความสะดวกเรื่องการทำวีซ่าแก่นักท่องเที่ยวจีนให้รวดเร็ว การเพิ่มเที่ยวบินรองรับนักท่องเที่ยวที่จะเพิ่มขึ้นในช่วงดังกล่าว รวมถึงเร่งจัดทำงบประมาณรายจ่าย 2567 ให้เกิดความต่อเนื่องในการขับเคลื่อนแผนงานต่างๆ ทั่วประเทศ ตลอดจนเร่งสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน เพื่อดึงดูดเม็ดเงินลงทุนใหม่ๆ จากต่างชาติ ซึ่งจะช่วยให้เกิดการจ้างงาน และเป็นผลดีต่อตัวเลขการส่งออกในอนาคต
2. ระยะกลาง ต้องวางแผนและป้องกันความเสี่ยงจากปัญหาภัยแล้งอย่างจริงจัง ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ได้ประเมินว่าปัญหาภัยแล้ง จะสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจประมาณ 5.3 หมื่นล้านบาท รัฐบาลใหม่จึงจำเป็นต้องเตรียมแผนบริหารจัดการทั้งพื้นที่ และการกักเก็บน้ำที่เหมาะสม รองรับความต้องการของภาคการเกษตร ภาคบริการ และภาคอุตสาหกรรม ซึ่งจะมีผลต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในช่วงปีหน้า
ตลอดจนสานต่อข้อตกลงทางการค้าระหว่างประเทศ ที่ไทยได้เริ่มดำเนินการกับหลายประเทศ เพื่อเร่งขยายตลาดใหม่ๆ โดยเฉพาะ FTA ไทย-EU และอีกหลายฉบับ โดยเอกชนมองว่าจะสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันของไทยในเวทีโลกมากขึ้น
3. ในระยะยาว ต้องเริ่มปูพื้นฐานความรู้ความเข้าใจของทุกภาคส่วน ถึงประเด็นการให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน เพราะรูปแบบการค้าของโลกจะเปลี่ยนไป วันนี้เห็นได้ชัดว่ามาตรฐานที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและสังคม กลายเป็นมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไทยต้องเร่งปรับตัวให้ทัน โดยเฉพาะการการส่งเสริมแนวทาง BCG และ ESG ให้มีรูปแบบและมาตรฐานสากล
สำหรับเศรษฐกิจภายในประเทศ ต้องยอมรับว่ายังคงน่ากังวล โดยเฉพาะกำลังซื้อของประชาชนที่สะท้อนจากการซื้อสินค้าคงทนตั้งแต่ช่วงเดือนมิ.ย. มีแนวโน้มลดลง เป็นสัญญาณว่าประชาชนไม่มีรายได้ และระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น สถานการณ์เช่นนี้จำเป็นต้องมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจทันที เช่นเดียวกับที่เคยทำในช่วงที่ผ่านมา เช่น โครงการคนละครึ่ง เพื่อดึงกำลังซื้อของประชาขนให้กลับมา
ขณะที่สเปคของ รมว.คลัง ถือเป็นหนึ่งในตำแหน่งที่ภาคเอกชนอยากเห็น ซึ่งจะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และเป็นที่ยอมรับจากทุกภาคส่วนว่าจะสามารถนำเสนอนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่ตอบโจทย์ประชาชนอย่างรวดเร็วและตรงจุด
นายสนั่น กล่าวว่า หากรัฐบาลใหม่ ที่คาดว่าพรรคเพื่อไทยสามารถเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ และนำเอานโยบายแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท มาใช้กระตุ้นเศรษฐกิจแบบทันทีนั้น หอการค้าฯ มองว่าในหลักการสามารถทำได้ แต่ต้องประเมินผลความคุ้มค่าในแง่เศรษฐกิจให้ชัดเจนและรอบด้าน เนื่องจากเป็นโครงการที่ใช้งบประมาณมหาศาล โดยมีข้อคิดเห็นดังนี้
1. การอัดฉีดเม็ดเงินไปยังกลุ่มผู้มีอายุ 16 ปี ขึ้นไป น่าจะอยู่ราว 50 ล้านคน หากใช้เงิน 1 หมื่นบาทต่อคน จะต้องใช้งบประมาณราว 5 แสนล้านบาท ซึ่งในหลักการการอัดฉีดเม็ดเงินดังกล่าว เข้าถึงมือประชาชนโดยตรง จะทำให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยและกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว
หอการค้าฯ ประเมินว่า ทุกๆ 1-1.5 แสนล้านบาท จะช่วยกระตุ้น GDP ได้ 1% ดังนั้น โครงการดังกล่าวน่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้เพิ่มขึ้นได้ประมาณ 2.5-3% เกิดเม็ดเงินหมุนในระบบเศรษฐกิจประมาณ 3-4 รอบ อย่างไรก็ตาม โครงการดังกล่าวยังมีข้อเป็นห่วงจากหลายฝ่าย ทั้งที่มาของแหล่งงบประมาณ และจะกระทบต่อฐานะการคลังมากน้อยเพียงใด ซึ่งจะต้องมีความชัดเจนในส่วนนี้
ทั้งนี้ หอการค้าฯ ขอให้มีการพิจารณาแนวทางการใช้นโยบายที่จะช่วยสนับสนุน และจูงใจผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบภาษีให้ถูกต้องมากขึ้น โดยปัจจุบันร้านค้าขนาดกลาง และขนาดเล็ก ส่วนใหญ่ยังไม่เข้าสู่ระบบภาษีที่ถูกต้อง เพื่อเป็นการขยายฐานภาษี และจัดเก็บรายได้ให้กับประเทศเพิ่มขึ้นในระยะต่อไป
2. พิจารณาการแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท แบบพุ่งเป้าไปยังกลุ่มที่เดือนร้อน หรือมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องได้รับการช่วยเหลือก่อน เพราะจะได้ไม่ต้องใช้งบประมาณที่สูงจนเกินไป และนำงบประมาณบางส่วนไปใช้เพื่อลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การจ้างงาน หรือการลงทุนในสาธารณะประโยชน์จะเกิดความคุ้มค่ากว่าหรือไม่ ภายใต้การคำนึงถึงความคุ้มค่า และไม่สร้างภาระทางการคลังของประเทศ
หอการค้าไทย ยังคงเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้ มีโอกาสเติบโตได้ 3.0-3.5% และมั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยในปี 67 จะเติบโตอย่างเต็มที่ จากแรงขับเคลื่อนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่
"ดังนั้น ภาคเอกชนหวังว่า การจัดตั้งรัฐบาลควรเป็นไปอย่างรวดเร็ว เรียบร้อย และมีเสถียรภาพ เพื่อให้สามารถดำเนินนโยบายต่างๆ ในการเดินหน้าเศรษฐกิจของประเทศโดยรวมได้อย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในขณะนี้" นายสนั่น ระบุ