นายทศพล ทังสุบุตร อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว เปิดเผยว่า ในเดือน ก.ค.566 มีการอนุญาตให้คนต่างชาติประกอบธุรกิจในประเทศไทย 51 ราย เป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 20 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 31 ราย เม็ดเงินลงทุนทั้งสิ้น 10,023 ล้านบาท จ้างงานคนไทย 372 คน ส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนจากญี่ปุ่น สิงคโปร์ และสหรัฐอเมริกา
สำหรับธุรกิจที่คนต่างด้าวได้รับอนุญาต ได้แก่ บริการให้ใช้ระบบแอปพลิเคชันที่ใช้สำหรับป้องกันการตรวจสอบการโทร, บริการออกแบบและพัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับจัดการสินทรัพย์ดิจิทัล, บริการรับจ้างผลิตเครื่องจักร อุปกรณ์ อะไหล่ ชิ้นส่วนของเครื่องจักรที่ใช้ในระบบแปรรูปยางพารา และเครื่องจักรทั่วไป, บริการวิจัยและพัฒนาชิ้นส่วนยานพาหนะ และบริการพัฒนาซอฟต์แวร์เกมส์ออนไลน์และแอปพลิเคชัน
ขณะที่ในช่วง 7 เดือนปี 2566 (ม.ค. - ก.ค.) ได้อนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้ พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 จำนวน 377 ราย เพิ่มขึ้น 17% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มี 377 ราย แยกเป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 122 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 255 ราย รวมเม็ดเงินลงทุนทั้งสิ้น 58,950 ล้านบาท ลดลง 20% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีเม็ดเงินลงทุน 73,624 ล้านบาท มีการจ้างงานคนไทย 3,594 คน
สำหรับต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในไทยสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ญี่ปุ่น 84 ราย (22%) เงินลงทุน 19,893 ล้านบาท, สหรัฐอเมริกา 67 ราย (18) เงินลงทุน 3,044 ล้านบาท, สิงคโปร์ 61 ราย (16%) เงินลงทุน 12,925 ล้านบาท จีน 28 ราย (7%) เงินลงทุน 11,663 ล้านบาท และเยอรมนี 16 ราย (4%) เงินลงทุน 1,298 ล้านบาท
รวมถึงมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีอันเป็นองค์ความรู้เฉพาะด้าน โดยตรงจากประเทศผู้เข้ามาลงทุนให้แก่คนไทย เช่น องค์ความรู้เกี่ยวกับการควบคุมแรงดันหลุมขุดเจาะปิโตรเลียม องค์ความรู้เกี่ยวกับเทคนิคขั้นพื้นฐานเกี่ยวกับการอัดฉีดซีเมนต์ในหลุมแท่นขุดเจาะปิโตรเลียม องค์ความรู้เกี่ยวกับขั้นตอนดำเนินการขุดสถานีใต้ดิน องค์ความรู้เกี่ยวกับการออกแบบระบบไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ในโครงการรถไฟฟ้า องค์ความรู้เกี่ยวกับการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม และองค์ความรู้เกี่ยวกับวิธีการแก้ไขปัญหาในการใช้งานยางล้ออากาศยาน เป็นต้น
สำหรับธุรกิจที่ได้รับอนุญาตเดือนม.ค.-ก.ค.66 ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจที่สอดคล้องกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ตามนโยบายการส่งเสริมการลงทุนเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ อาทิ
- บริการขุดเจาะหลุมปิโตรเลียมภายในบริเวณพื้นที่แปลงสำรวจที่ได้รับสัมปทานในอ่าวไทย
- บริการบำรุงรักษาหลุมขุดเจาะปิโตรเลียมบนชายฝั่ง
- บริการออกแบบ จัดซื้อ จัดหา ติดตั้ง ปรับปรุง พัฒนา ทดลองระบบ เชื่อมระบบ และการเปิดใช้งาน ตลอดจนการบริหารจัดการ สำหรับโครงการรถไฟฟ้า
- บริการก่อสร้าง รวมทั้งติดตั้งและทดสอบเกี่ยวกับการวางท่อส่งก๊าซธรรมชาติและสถานีควบคุมก๊าซธรรมชาติและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ สำหรับโครงการระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบก
- บริการออกแบบ จัดหา ติดตั้ง ตรวจสอบ ทดสอบ และบำรุงรักษา เครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์และสำหรับที่ใช้ในสถานพยาบาล
- บริการซอฟต์แวร์ ประเภท ENTERPRISE SOFTWARE และ DIGITAL CONTENT
- บริการเป็นศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ ซึ่งให้บริการแก่กิจการของวิสาหกิจในเครือในต่างประเทศ
นายทศพล ยังกล่าวถึงการลงทุนในพื้นที่ EEC ของนักลงทุนต่างชาติ ช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ว่า มีนักลงทุนต่างชาติสนใจลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 73 ราย คิดเป็น 19% ของจำนวนนักลงทุนทั้งหมด โดยมูลค่าการลงทุนในพื้นที่ EEC อยู่ที่ 12,348 ล้านบาท คิดเป็น 21% ของเงินลงทุนทั้งหมด
ทั้งนี้ เป็นนักลงทุนจากญี่ปุ่น 31 ราย ลงทุน 5,379 ล้านบาท, จีน 12 ราย ลงทุน 893 ล้านบาท, เกาหลีใต้ 5 ราย ลงทุน 287 ล้านบาท และประเทศอื่นๆ อีก 25 ราย ลงทุน 5,789 ล้านบาท โดยธุรกิจที่ลงทุน อาทิ 1) บริการให้คำปรึกษาแนะนำด้านการบริหารจัดการกระบวนการผลิตในอุตสาหกรรมต่างๆ 2) บริการทางวิศวกรรมและเทคนิค เช่น การออกแบบเครื่องจักร เครื่องกล เครื่องมือและอุปกรณ์ 3) บริการรับจ้างผลิตเครื่องจักร และชิ้นส่วนของเครื่องจักรสำหรับอุตสาหกรรม 4) บริการรับจ้างผลิตชิ้นส่วนยานพาหนะ และ 5) บริการออกแบบแม่พิมพ์โลหะสำหรับผลิตชิ้นส่วนยานยนต์