นายมนตรี โสคติยานุรักษ์ รองคณบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา คณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยถึงทิศทางเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 2/51 ว่า สถานการณ์ที่เคยรุมเร้าเศรษฐกิจไทยมีความผ่อนคลายลง โดยเฉพาะความกังวลจากทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐที่ได้รับผลกระทบจากซับไพร์ม แต่ล่าสุดสถาบันการเงินหลายแห่งเริ่มมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ อาจสะท้อนให้เห็นถึงการยุติการลุกลามของปัญหาวิกฤติซับไพร์ม
ทั้งนี้ จากสถานการณ์ดังกล่าว ทำให้เชื่อว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่จะประชุมกันนวันที่ 30 เม.ย.อาจจะไม่ลดดอกเบี้ยหรืออาจจะลดแค่ 0.25% ไม่ได้ลดอย่างรุนแรงเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐคงอยู่ที่ระดับ 2.25% หรือลงมาอยู่ที่ 2.00% เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าปัญหาที่สำคัญสำหรับเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกในเวลานี้คือ การที่ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในระดับเกือบ 120 เหรียญ/บาร์เรล หลังจากนี้มีการวิเคราะห์ว่าราคาน้ำมันจะขึ้นไปแตะ 150 เหรียญ/บาร์เรลในปี 52 และขึ้นไปสูงสุดที่ 225 เหรียญ/บาร์เรลในปี 55
ปัจจัยดังกล่าวจะเป็นตัวฉุดรั้งอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก และจะมีผลกับเศรษฐกิจไทยเนื่องจากประเทศไทยมีการพึ่งพิงภาคการค้าระหว่างประเทศสูงถึง 70%
แต่ขณะเดียวกัน ก็ต้องยอมรับว่าประเทศไทยได้รับอานิสงส์จากการที่ราคาสินค้าพืชผลทางการเกษตรมีราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น ทำให้มูลค่าการส่งออกของปรับตัวสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์เช่นกัน โดยจะเห็นได้จากยอดการส่งออกในเดือนมี.ค.เพิ่มขึ้นถึง 14.4% โดยการส่งออกสินค้าเกษตรพุ่งสูงถึง 32% โดยภาพรวมของไตรมาสที่ 1 การส่งออกขยายตัวถึง 20% เป็นสินค้าเกษตร 31.4%
"เชื่อว่าแนวโน้มแบบนี้จะยังคงอยู่ต่อไป โดยเฉพาะในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ ที่ตัวเลขจะสูสีกับไตรมาสแรก โดยคาดว่าการส่งออกจะเพิ่มขึ้นได้มากกว่า 12% ตามที่กระทรวงพาณิชย์ได้คาดการไว้ว่าจะอยู่ในระดับ 20% เท่ากับไตรมาสแรก ทำให้ภาพรวมการส่งออกในปีนี้น่าจะดีมาก และจะมีผลต่อการเติบโตเศรษฐกิจของปี 51 ด้วย"นายมนตรี กล่าว
นอกจากนี้ การที่ค่าเงินบาทอยู่ในระดับแข็งค่าเช่นนี้ ยังมีผลทำให้ต้นทุนในการนำเข้าของประเทศไทยลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำมัน เมื่อได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลอัดฉีดเข้ามาถึง 3 ระยะ คาดว่ากลไกการกระตุ้นเศรษฐกิจบางมาตรการจะเริ่มทำงานให้เห็นผลในไตรมาสที่ 2/51 โดยเฉพาะโครงการลงทุนในสาธารณูปโภคขนาดใหญ่หรือเมกะโปรเจ็คท์ ที่จะเริ่มในเดือนพ.ค.นี้ ทำให้เชื่อว่าสถานการณ์เศรษฐกิจในช่วงนี้จะมีทิศทางที่ดีขึ้น หลังจากที่ปัจจัยลบผ่อนคลายและมีปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุน
--อินโฟเควสท์ โดย ฐานิสร์ ทองนอก/รัชดา/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--