นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ในเดือนก.ค.66 มีผู้ประกอบธุรกิจยื่นขอจดทะเบียนจัดตั้งห้างหุ้นส่วนบริษัทใหม่ทั่วประเทศ 6,848 ราย เพิ่มขึ้น 16.9% จากเดือนเดียวกันปีก่อนที่มี 5,858 ราย คิดเป็นมูลค่าทุนจดทะเบียนรวม 16,648 ล้านบาท ลดลง 42.81% จากเดือนเดียวกันของปีก่อน ที่มีทุนจดทะเบียน 29,111 ล้านบาท
โดยประเภทธุรกิจจัดตั้งใหม่ สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1. ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 545 ราย คิดเป็น 8% 2. ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 480 ราย คิดเป็น 7% และ 3. ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร จำนวน 342 ราย คิดเป็น 5% ตามลำดับ
ขณะที่ในเดือนก.ค.66 มีธุรกิจเลิกประกอบกิจการทั้งหมด 1,867 ราย เพิ่มขึ้น 21% จากเดือนเดียวกันของปีก่อน ที่มี 1,543 ราย คิดเป็นมูลค่าทุนจดทะเบียนจำนวน 7,527 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.31% จากเดือนเดียวกันของปีก่อน ที่มีทุนจดทะเบียน 7,148 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการเลิกกิจการในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
โดยประเภทธุรกิจที่เลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 175 ราย คิดเป็น 9% ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 103 ราย คิดเป็น 6% และธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร จำนวน 43 ราย คิดเป็น 2% ตามลำดับ
ทั้งนี้ ส่งผลให้วันที่ 31 ก.ค. 66 มีธุรกิจดำเนินกิจการอยู่จำนวน 886,796 ราย มูลค่าทุน 21.47 ล้านล้านบาท จำแนกเป็น ห้างหุ้นส่วนจำกัด/ ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล จำนวน 203,802 ราย คิดเป็น 22.98% บริษัทจำกัด จำนวน 681,581 ราย คิดเป็น 76.86% และบริษัทมหาชนจำกัด จำนวน 1,413 ราย คิดเป็น 0.16%
นายจุรินทร์ กล่าวว่า ภาพรวมการจัดตั้งธุรกิจในเดือนก.ค.66 มีจำนวนการจัดตั้งธุรกิจเพิ่มขึ้น โดยการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจในเดือนกรกฎาคม 2566 เป็นการจดทะเบียนจัดตั้งใหม่สูงสุดในรอบ 10 ปี ของเดือนกรกฎาคม (ก.ค.57 - ก.ค.66) และสูงสุดในรอบ 10 ปี เป็นเดือนที่ 7 ติดต่อกัน (ม.ค. - ก.ค. 66)
ปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนการจดทะเบียนธุรกิจให้เติบโตสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งมาจากภาคการท่องเที่ยวที่เติบโตทั้งจากนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติ ที่เดินทางท่องเที่ยวกันมากขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดย 7 เดือนแรก ปี 2566 มีจำนวนการจดจัดตั้งเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาถึง 71.45%
ทั้งนี้ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า คาดการณ์การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่ในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 อยู่ที่ประมาณ 32,000 - 39,000 ราย และตลอดทั้งปี 2566 อยู่ที่ประมาณ 79,000 - 86,000 ราย