น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้รับทราบรายงานประจำปี 2565 และแผนงานระยะต่อไป ของกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) โดยส่วนของผลการดำเนินงานปี 2565 นั้น กอช. บูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ในการส่งเสริมการออกในกลุ่มเป้าหมายเพื่อเพิ่มจำนวนสมาชิกอย่างทั่วถึง ทำให้ ณ สิ้นปี 65 กอช. มีสมาชิกรวมแล้ว 2.516 ล้านคน เทียบกับปีก่อนหน้าที่มีอยู่ 2.495 ล้านคน และมีเงินกองทุนอยู่ 11,668.69 ล้านคน
ส่วนแผนดำเนินงานในปี 2566 กอช. มีเป้าหมายดำเนินการตามแผนปฏิบัติการระยะ 5 ปี (66-70) ภายใต้กรอบวงเงินขอรับจัดสรร 1,212.89 ล้านบาท เป้าหมายเพิ่มจำนวนสมาชิกเป็น 2.54 ล้านคน ขับเคลื่อนการทำงานภายใต้ยุทธศาสตร์ 5 ด้าน ได้แก่
1) เน้นการสื่อสารคุณค่าของการออกมผ่าน กอช.
2) พัฒนาการตลาดให้ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายและการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่สมาชิก
3) บริหารเงินทุนอย่างมีประสิทธิภาพและสร้างผลตอบแทนอย่างมั่นคง
4) ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อยกระดับการให้บริการสมาชิกและเพิ่มผลิตภาพขององค์กร
5) ยกระดับขีดความสามารถการบริหารจัดการในองค์กร
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า กอช. ได้คาดการณ์จำนวนสมาชิก และกรอบวงเงินการดำเนินงาน ระยะ 3 ปีข้างหน้า ดังนี้
- ปี 2567 คาดว่าจะมีจำนวนสมาชิก 2.64 ล้านคน กรอบวงเงินงบประมาณ 1,513.40 ล้านบาท
- ปี 2568 คาดว่าจะมีจำนวนสมาชิก 2.70 ล้านคน กรอบวงเงินงบประมาณ 1,553.56 ล้านบาท
- ปี 2569 คาดว่าจะมีจำนวนสมาชิก 2.76 ล้านคน กรอบวงเงินงบประมาณ 1,592.02 ล้านบาท
ทั้งนี้ กอช. เป็นกองทุนบำนาญ สำหรับประชาชนที่เป็นแรงงานนอกระบบ ซึ่งรัฐบาลได้ตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนให้เกิดการออมในประชาชนทุกกลุ่ม โดยผู้ที่สามารถสมัครเข้าเป็นสมาชิกได้ จะต้องเป็นประชาชนไทย ผู้มีอายุระหว่าง 15-60 ปี ไม่มีสวัสดิการบำนาญ หรือสวัสดิการใด ๆ จากรัฐ อาทิ ผู้ประกอบอาชีพอิสระ พ่อค้าแม่ค้า ชาวไร่ชาวนา รวมถึงนักเรียน นิสิต นักศึกษา
โดยในการเป็นสมาชิกนั้น สามารถส่งเงินสะสมเพื่อเป็นเงินออมไว้ใช้หลังอายุ 60 ปีได้ โดยส่งเงินออมเป็นรายรายเดือน เริ่มออมขั้นต่ำ 50 บาท/ครั้ง สูงสุด 30,000 บาท/ปี โดยรัฐจะสมทบเงินออมเพิ่มให้ ขึ้นอยู่กับเงินออมของสมาชิกและช่วงอายุ โดยยอดเงินสมทบที่รัฐจ่ายให้นี้ สูงสุด 1,800 บาท/ปี และยังมีเงินผลประโยชน์จากการลงทุนของเงินออมสะส มและเงินสมทบจากรัฐได้ นอกจากนี้ สมาชิก กอช. ยังสามารถนำเงินออมในแต่ละปีไปลดหย่อนภาษีประจำปีได้ สูงสุดไม่เกิน 30,000 บาท/ปี