นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า อินเดีย ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตน้ำตาลรายใหญ่ของโลก และด้วยขนาดประชากรประมาณ 1,400 ล้านคน จึงมีการบริโภคภายในประเทศมากที่สุดในโลก แต่ปีนี้ประสบกับปัญหาภัยแล้งจากสภาพภูมิอากาศที่ร้อนจัดในช่วงครึ่งปีแรก ต่อเนื่องด้วยภาวะฝนขาดช่วงในฤดูมรสุม โดยในเขตปลูกอ้อยหลักในรัฐ Maharashtra ทางตะวันตกและรัฐ Karnataka ทางตอนใต้ ซึ่งมีผลผลิตน้ำตาลของ 2 รัฐรวมกันแล้ว คิดเป็นสัดส่วนมากกว่าครึ่งหนึ่งของผลผลิตน้ำตาลทั้งหมดของอินเดีย
ทั้งนี้ จากภาวะปริมาณน้ำฝนต่ำกว่าค่าเฉลี่ยถึง 50% จึงส่งผลทำให้ผลผลิตน้ำตาลของฤดูกาลผลิตปี 2566/67 ลดลงเหลือ 31.7 ล้านตัน หรือลดลง 3.3% และอาจส่งผลต่อการเพาะปลูกในฤดูกาลผลิตปี 2567/68
นายรณรงค์ กล่าวว่า อินเดียมีผลิตน้ำตาลเพื่อการบริโภคภายในประเทศเป็นหลัก และผลิตเอทานอลจากอ้อยส่วนเกิน โดยในช่วงการผลิต ปี 2565/66 รัฐบาลอินเดียได้อนุญาตให้ส่งออกน้ำตาล 6.1 ล้านตัน
อย่างไรก็ดี ในเดือนก.ค. 66 อินเดียประสบสถานการณ์อัตราเงินเฟ้อค้าปลีก พุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 15 เดือน อยู่ที่ 7.44% และอัตราเงินเฟ้อ ด้านอาหารอยู่ที่ 11.5% ซึ่งสูงที่สุดในรอบ 3 ปี และคาดว่าปริมาณน้ำตาลของอินเดียอาจจะไม่เพียงพอที่จะจัดสรรโควตาการส่งออกสำหรับฤดูกาลหน้า (เดือนต.ค. 66)
สำหรับประเทศไทย ปีการผลิต 2565/66 ไทยมีปริมาณอ้อยเข้าหีบประมาณ 93.88 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2564/65 ที่ 1.97% และมีผลผลิตน้ำตาลปี 2565/66 ประมาณ 11.05 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2564/2565 ที่ 8.88% โดยมีปริมาณการส่งออกน้ำตาลในช่วงม.ค.-ก.ค. 66 ประมาณ 5.5 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 2.4%
อย่างไรก็ตาม การที่อินเดียห้ามส่งออกน้ำตาล ย่อมส่งผลให้อุปทานน้ำตาลโลกลดลง และราคาน้ำตาลโลกปรับตัวสูงขึ้น รวมทั้งราคาสินค้าที่ใช้น้ำตาลเป็นส่วนประกอบ จะปรับตัวเพิ่มขึ้นตามลำดับ