นายสุรเชษฐ์ เหล่าพูลสุข ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เป็นประธานเปิดการประชุมรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ครั้งที่ 2 (สรุปผลการคัดเลือกแนวสายทาง) งานศึกษาความเหมาะสมทางด้านวิศวกรรม เศรษฐกิจ การเงิน และผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 3 สายเหนือ ส่วนทดแทนตอน N1 (ช่วงทางพิเศษศรีรัช-ถนนงามวงศ์วาน-ถนนประเสริฐมนูกิจ)
นายสุรเชษฐ์ เปิดเผยว่า กทพ.วางแผนการดำเนินงานทางด่วนขั้นที่ 3 สายเหนือออกเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ทางด่วนขั้นที่ 3 สายเหนือ ตอน N2 ถนนประเสริฐมนูกิจ ถึงถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันออก ระยะทาง 11.3 กิโลเมตร (กม.) วงเงินลงทุน 16,960 ล้านบาท มีความพร้อมเริ่มก่อสร้างก่อน อยู่ในขั้นตอนเตรียมเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.) ชุดใหม่ ส่วนระยะที่ 2 ทางด่วนขั้นที่ 3 สายเหนือ ส่วนทดแทนตอน N1 อยู่ในระหว่างศึกษา ความเหมาะสม ซึ่งก่อนหน้านี้ กทพ.ได้หารือร่วมกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในส่วนที่ได้รับผลกระทบเพื่อพิจารณาและแนวทางเลือกเส้นทางและรูปแบบก่อสร้างที่เหมาะสม และมีผลกระทบน้อยที่สุด
โดยแนวคิดในการกำหนดแนวทางเลือกโครงการ มีการทบทวนผลการศึกษาเดิม และพิจารณาทางเลือกใหม่ มีปัจจัยด้าน วิศวกรรมจราจร ด้านเศรษฐกิจการลงทุน ด้านผลกระทบสิ่งแวดล้อม เบื้องต้น มีแนว 3 แนวทางเลือก โดยมี 5 ทางเลือกย่อย พบว่าแนวสายทางที่ 2.2 เป็นแนวสายทางที่เหมาะสมที่สุด โดยจะเป็นอุโมงค์ใต้ดินทั้งหมด มีจุดเริ่มต้นบริเวณทางพิเศษศรีรัชตัดกับถนนงามวงศ์วาน แนวสายทางจะไปตามแนวถนนงามวงศ์วานผ่านแยกพงษ์เพชร แยกบางเขน แยกเกษตร เข้าถนนประเสริฐมนูกิจจนเชื่อมต่อกับโครงการทางด่วนขั้นที่ 3 สายเหนือ ตอน N2 และเชื่อมต่อ E-W Corridor ระยะทาง 6.7 กม. โดยมีคะแนนรวม 82.5 คะแนน ค่าลงทุนประมาณ 36,000 ล้านบาท
นายสุรเชษฐ์ กล่าวว่า หลังจากนำเสนอแนวเส้นทางที่เหมาะสม และรับฟังความเห็นจากที่ประชุมครั้งนี้แล้ว จะเป็นการศึกษาอย่างละเอียดในขั้นตอนต่อไป จะมีความชัดเจนในด้านค่าก่อสร้าง ค่าเวนคืน ผลตอบแทนในการลงทุน ทางการเงินอาจไม่ดีมาก แต่ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจกว่า 17% โดยเบื้องต้น กทพ.จะลงทุนเอง โดยใช้รายได้มาดำเนินการ ซึ่งฐานะการเงินของกทพ.มีความแข็งแกร่ง จะดูกระแสเงินสด หากไม่พอ จะระดมทุนเข้ามาช่วย เช่น ออกบอนด์ เป็นต้น
โดยการศึกษามีระยะเวลา 17 เดือน เริ่มเมื่อเดือนเม.ย. 65- ก.ย. 66 แต่มีการขยายเวลา ช่วงเจรจาหารือกับผู้ได้รับผลกระทบ โดยจะสรุปการศึกษาและรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเดือนพ.ค. 67 จากนั้น เป็นขั้นตอนการเสนอครม.และขออนุมัติ รายงาน EIA คาดใช้เวลาประมาณ 1.5-2 ปี คาดประมูลในปี 69 เริ่มก่อสร้างปี 70 ใช้เวลาก่อสร้าง5 ปี เปิดบริการปี 75 โดยคาดการณ์ปริมาณจราจรปีเปิดบริการที่ 7 หมื่นคัน/วัน ขณะที่สายทางมีความจุประมาณ 1.4 แสนคัน/วัน
ผู้ว่าฯกทพ. กล่าวว่า ทางด่วนขั้นที่ 3 สายเหนือ ใช้เวลา 25 ปีแล้วเพราะ มีการศึกษาปรับแนว และรูปแบบให้เหมาะสมที่สุด โดยรูปแบบอุโมงค์ ดังกล่าวจะลดผลกระทบความกังวลของ โดยรูปแบบม.เกษตร ซึ่งจะเป็นอุโมงค์ทางด่วนสายแรกของประเทศที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 16 เมตร ซึ่งใหญ่ กว่าอุโมงค์รถไฟฟ้าใต้ดิน โดยภายในจะมีอุโมงค์ใต้ดิน 2 ชั้น เป็นถนนขนาด 2 ช่องจราจร ซ้อนกันอยู่ ประเมินระดับความลึกที่สุด อยู่ที่ประมาณ 44 เมตร จากผิวดิน หรือเท่าๆกับระดับความลึกอุโมงค์รถไฟฟ้าสีน้ำเงินช่วงลอดใต้แม่น้ำเจ้าพระยา และมีจุดระบายอากาศ จุดอพยพ 4 จุด โดยประเมินค่าก่อสร้างอุโมงค์ใต้ดิน สูงทางด่วนยกระดับประมาณ 5 เท่า