นายรัชวิชญ์ ปิยะปราโมทย์ รองอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า จากการเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสไทย-สหรัฐอเมริกา ภายใต้กรอบความตกลงการค้าและการลงทุนไทย-สหรัฐฯ (Trade and Investment Framework Agreement: TIFA) ซึ่งการประชุมครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสอันดีที่ได้กระชับความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างกัน หลังจากที่ไม่มีการประชุมมากว่า 4 ปี เนื่องจากสถานการณ์โควิดระบาด
โดยไทยได้ขอให้สหรัฐฯ เร่งรัดต่ออายุโครงการ GSP ที่สิ้นสุดไปเมื่อปี 2563 เพื่อให้ผู้ส่งออกสินค้าไทย และผู้นำเข้าสหรัฐฯ ยังคงได้รับประโยชน์และแต้มต่อจากโครงการนี้ ด้านสหรัฐฯ แจ้งว่า ยังอยู่ระหว่างการเสนอร่างกฎหมายต่ออายุโครงการ GSP ต่อรัฐสภาของสหรัฐฯ และอาจมีการปรับเพิ่มเงื่อนไขเรื่องการคุ้มครองแรงงาน สิ่งแวดล้อม สิทธิมนุษยชน หลักนิติธรรม และการต่อต้านทุจริต ไว้ในโครงการ GSP ที่จะต่ออายุใหม่
นอกจากนี้ ไทยได้ขอให้สหรัฐฯ พิจารณาถอดไทยออกจากบัญชีประเทศที่ต้องจับตามองด้านทรัพย์สินทางปัญญา (Watch List: WL) เนื่องจากในรอบปีที่ผ่านมา ไทยมีพัฒนาการด้านการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาที่ดี และเข้มข้นขึ้น รวมทั้งยังได้จัดทำแผนงานด้านทรัพย์สินทางปัญญาในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า ซึ่งสหรัฐฯ ได้ตระหนักถึงพัฒนาการของไทยเป็นอย่างดี
รองอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า ที่ประชุมได้หารือเรื่องการเพิ่มความร่วมมือเพื่อแก้ไขปัญหาประเทศที่สามแอบอ้างใช้แหล่งกำเนิดสินค้าจากไทย เพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดของสหรัฐฯ (anti-circumvention) และการปรับปรุงมาตรฐานการคุ้มครองแรงงาน ซึ่งสหรัฐฯ เห็นถึงความพยายามของไทย ในการยกระดับการคุ้มครองแรงงาน ผ่านการปรับปรุงกฎหมายด้านแรงงาน โดยทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และทำความเข้าใจระหว่างกันต่อไป
ทั้งนี้ ในช่วง 7 เดือน (ม.ค-ก.ค.66) การค้าระหว่างไทยและสหรัฐฯ มูลค่า 38,707 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไทยส่งออกไปสหรัฐฯ มูลค่า 26,905 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และไทยนำเข้าจากสหรัฐฯ มูลค่า 11,801 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง และเครื่องโทรสาร และสินค้านำเข้าสำคัญ ได้แก่ น้ำมันดิบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ และเคมีภัณฑ์