นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) กล่าวว่าราคาทองคำในประเทศที่เคลื่อนไหวในทิศทางบวกในช่วงนี้เป็นผลมาจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่า อย่างไรก็ตามมองว่าการอ่อนค่าของเงินบาทน่าจะเป็นเพียงช่วงสั้นๆ เนื่องจากนโยบายกระตุ้นการท่องเที่ยวของรัฐบาล เช่นการเปิดฟรีวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวจีน จะเป็นอีกปัจจัยที่กระตุ้นความต้องการเงินบาทได้ อย่างไรก็ดีการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทมีผลแต่กับราคาทองคำในประเทศเท่านั้น
ส่วนราคาทองคำในตลาดโลก ในระยะสั้นอาจต้องจับตาเพิ่มเติมในประเด็นการส่งสัญญาณยกเลิกนโยบายดอกเบี้ยติดลบของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ส่งผลให้เยนผันผวนเมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่นๆ
อย่างไรก็ตามในประเด็นหลัก ราคาทองคำต่างประเทศจะเคลื่อนไหวในทิศทางใดต้องจับตาการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่จะมีขึ้นวันที่ 19 - 20 ก.ย. นี้ ซึ่งตลาดคาดหวังให้ Fed ขึ้นดอกเบี้ยอีกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะปรับตัวลดลงในประมาณเดือนมีนาคม 2566 หากเป็นไปตามที่คาดก็จะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ในกรอบ 2,075-2,100 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ ซึ่งก็จะเป็นการทำจุดสูงสุดรอบใหม่
สำหรับแนวโน้มในระยะยาวนั้น มองว่าราคาทองคำมีโอกาสปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าในอีก 3-4 ปี ประเทศไทยจะมีการบริโภคทองคำเฉลี่ย 100 ตันต่อปี ซึ่งใกล้ระดับที่เคยสูงสุดที่ 153.8 ตันต่อปีในปี 2556 จากปัจจุบันประเทศไทยมีการบริโภคทองคำโดยเฉลี่ย 63 ตันต่อปี ซึ่งสูงเป็นอันดับ 3 ของเอเชีย เป็นรองแค่ จีน และ อินเดีย และเป็นอันดับ 7 ของโลก อย่างไรก็ดีส่วนหนึ่งที่การบริโภคทองคำจะเติบโตขึ้นได้อีกนั้น เป็นเพราะคนไทยหันมาซื้อขายทองคำผ่านระบบออนไลน์เพื่อลงทุนมากขึ้น เพราะเข้าถึงง่ายในราคาเรียลไทม์ ตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้ตลาดทองคำในประเทศยังคงมีแนวโน้มเติบโตได้ต่อเนื่อง