นายศุภโชติ ไชยสัจ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวถึงมาตรการลดค่าไฟ ภายหลังที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วานนี้ (18 ก.ย.) รับทราบตามที่รมว.พลังงาน รายงานผลการหารือกับคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ระบุสามารถลดค่าไฟฟ้าจาก 4.10 บาท เหลือ 3.99 บาท ทันทีในรอบบิลเดือนก.ย. 66 ว่า การกระทำนี้ไม่สามารถตอบโจทย์การทำให้ค่าไฟลดลงในระยะยาว ขณะเดียวกัน ยังซ่อนความน่ากลัวไว้ หากไม่มีมาตรการอื่นมาทดแทน
เนื่องจากในปัจจุบัน แนวโน้มราคาก๊าซธรรมชาติที่มีแต่สูงขึ้น ก้อนหนี้ที่มีอยู่จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย และอีกไม่นานเมื่อถึงเวลาจ่ายหนี้ อาจต้องควักเงินจากกระเป๋าประชาชนมาจ่ายมากกว่าเดิม
"ปัจจุบันเหมือนเป็นการโยกกระเป๋าซ้ายเข้ากระเป๋าขวา การกระทำแบบนี้เหมือนเล่นกับความคาดหวัง ความหวังที่ราคาก๊าซธรรมชาติจะถูกลง จากนั้นค่อยคืนหนี้ กฟผ. กลัวว่าถ้าสิ่งนี้ไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิด กฟผ. จะมีสถานะเหมือนกับการรถไฟไทยฯ ที่หนี้สินล้นพ้นตัว และความน่าเชื่อถือจากนักลงทุนก็จะลดลงไปด้วย" นายศุภโชติ กล่าว
อย่างไรก็ดี นายศุภโชติ กล่าวว่า หากพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล ได้มองถึงปัญหาที่ต้นตอและคิดหาวิธีการทำให้ราคาค่าไฟ นอกจากจะถูกลงอย่างยั่งยืน ยังเป็นธรรมกับประชาชนอีกด้วย โดยเห็นว่ามี 3 เรื่องที่ควรทำ คือ 1. ยืดหนี้ กฟผ. 2. การปรับการคำนวณราคาของก๊าซธรรมชาติใหม่ และ 3. การเร่งเจรจาแก้ไขสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับเอกชน เพื่อลดค่าความพร้อมจ่าย
นายศุภโชติ กล่าวว่า นอกเหนือจากการยืดหนี้ที่ควรจะทำในระยะเร่งด่วนนั้น คิดว่าการปรับโครงสร้างก๊าซธรรมชาติจะช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องต้นทุนการผลิตกระแสไฟฟ้าให้ลดลงอย่างยั่งยืนได้ เนื่องจากปัจจุบันก๊าซราคาถูกที่ขุดจากอ่าวไทย ถูกนำไปให้อุตสาหกรรมปิโตรเคมีใช้ก่อน
ส่วนก๊าซที่นำมาผลิตไฟฟ้าให้ประชาชนใช้ มาจากก๊าซอ่าวไทยที่อุตสาหกรรมปิโตรเคมีใช้เหลือ และก๊าซที่มาจากการนำเข้าซึ่งมีราคาแพงมาก ซึ่งเท่ากับตอนนี้อุตสาหกรรมปิโตรเคมีใช้ถูก ประชาชนใช้แพง ดังนั้น หากนำ 2 ส่วนนี้มาถัวเฉลี่ยกัน จะสามารถทำให้ราคาก๊าซธรรมชาติที่นำไปผลิตไฟฟ้าให้ประชาชน ถูกลงได้มากกว่าปัจจุบัน
ขณะเดียวกัน รัฐบาลควรเร่งให้มีการเจรจาสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่รัฐเคยทำโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ภาคเอกชน เพื่อลดค่าความพร้อมจ่าย ปัจจุบันประเทศไทยประสบปัญหาการมีจำนวนโรงไฟฟ้าเกินความจำเป็น ส่งผลให้ปริมาณสำรองไฟฟ้ามากเกิน ทำให้บางโรงที่แทบไม่ต้องผลิตไฟฟ้าหรือไม่ได้เดินเครื่องเลยตลอด 1 ปี กลับได้เงินผ่านค่าความพร้อมจ่ายนี้ไปเรื่อยๆ ตลอดระยะเวลาสัญญา 25 ปี ซึ่งในปีที่ผ่านๆ มา ประชาชนต้องจ่ายค่าความพร้อมจ่ายนี้ที่แฝงอยู่ในค่าไฟของประชาชนทุกคน ให้กับโรงไฟฟ้าที่ไม่ได้เดินเครื่องกว่าเกือบหมื่นล้านบาทต่อปีไปฟรีๆ
นายศุภโชติ กล่าวว่า ตนและพรรคก้าวไกลจึงคิดว่า การแก้ไขสัญญาซื้อขายไฟฟ้านั้น เป็นมาตรการที่รัฐบาลควรทำเพื่อลดต้นทุนค่าไฟให้กับประชาชนในระยะยาวได้อีกวิธี เนื่องจากที่ผ่านมามีหลายบริษัทเอกชนมักอ้างการระบาดของโควิด-19 เป็นเหตุสุดวิสัยในการขอเจรจาสัญญาสัมปทานใหม่กับทางภาครัฐ
ดังนั้น เมื่อประกอบกับช่วงโควิดมีปริมาณการใช้ไฟฟ้าน้อยลง ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้ ตอนคิดจะสร้างโรงไฟฟ้าเหล่านี้ รัฐบาลก็ควรสามารถใช้เหตุผลเดียวกันนี้ ในการขอเจรจากับเอกชนเพื่อลดค่าความพร้อมจ่ายลงไปก่อน จากที่กล่าวมาทั้ง 3 วิธี พรรคก้าวไกลเห็นว่า สามารถลดค่าไฟได้ทันทีอย่างน้อย 70 สตางค์ต่อหน่วย ภายในระยะเวลา 1 ปี ซึ่งเป็นวิธีที่มีความยั่งยืน และเป็นธรรมกับประชาชน