นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า จากความชัดเจนของมาตรการต่าง ๆ ของรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะมาตรการลดค่าครองชีพ และลดต้นทุนให้กับประชาชนและผู้ประกอบการ ผ่านการลดค่าไฟฟ้าเหลือ 3.99 บาท และลดค่าน้ำมันดีเซลให้ต่ำกว่า 30 บาท/ลิตร ตลอดจนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นควบคู่ไปด้วย เสริมกับนโยบาย Free Visa แก่นักท่องเที่ยวจีนและคาซัคสถาน ที่น่าจะช่วยกระตุ้นให้จำนวนนักท่องเที่ยวทั้งปีนี้ ขยับขึ้นไปแตะที่ 28-30 ล้านคน โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่น่าจะถึง 5 ล้านคนได้ ผ่านสัญญาณการจองเที่ยวบิน และห้องพักที่เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว
ส่วนในระยะยาว รัฐบาลควรเน้นการสร้างความมั่นใจเรื่องความปลอดภัย การส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง เพื่อให้นักท่องเที่ยวใช้จ่ายและอยู่ในประเทศไทยนานขึ้น ด้านประเด็นการส่งออก ที่ชะลอตัวหลายเดือนและมีสัญญาณพลิกกลับมาเป็นบวกในเดือนสิงหาคม ถือเป็นสัญญาณที่ดีโดยหอการค้าไทย มองว่าหลังจากนี้ในไตรมาส 4 สถานการณ์น่าจะกลับมาเป็นบวกได้ และทำให้ภาพส่งออกปีนี้อาจไม่ติดลบ หรือติดลบน้อยที่สุด
นายสนั่น ยังกล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติ ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 2.50% ว่า หอการค้าฯ ยังไม่มีความกังวลในประเด็นดังกล่าว เพราะไทยถือว่ามีอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่ำ หากเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน และมองว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยในครั้งนี้ เพื่อให้อัตราดอกเบี้ยของไทยกับต่างประเทศไม่ห่างกันมากนัก และเป็นการรักษาเสถียรภาพทางการเงินของไทย ซึ่งช่วงที่ผ่านมา เงินบาทมีการอ่อนค่ามากขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ
"จากนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา หอการค้าไทยเชื่อว่าจะช่วยเพิ่มการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยได้อีก 0.6-.08% และทำให้ภาพรวมจีดีพีทั้งปีโตได้ถึง 3% ตามที่ตั้งไว้" ประธานกรรมการหอการค้าไทย ระบุ
พร้อมกันนี้ หอการค้าไทย ยังประเมินว่า GDP ของไทยในปี 67 จะใกล้เคียงกับรัฐบาลที่ตั้งไว้ที่ 5% ได้ แม้จะเป็นเรื่องท้ายทาย แต่หากได้รับการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นนโยบายแจกเงินดิจิทัล ที่หากสามารถดำเนินการได้สำเร็จ น่าจะช่วยเพิ่ม GDP ได้ 2-3% ภายใต้การส่งออกที่เติบโตที่มากกว่าปีนี้
"หากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกไม่มีปัจจัยแทรกซ้อน โดยเฉพาะปัญหาความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ ก็มีความเป็นไปได้ที่จะเห็นตัวเลข GDP ที่ 5% ในรอบหลายปี ซึ่งทุกฝ่ายคงต้องช่วยกันให้บรรลุเป้าหมาย" นายสนั่น ระบุ
นายสนั่น ยังกล่าวถึงการหารือระหว่างหอการค้าไทย ร่วมกับนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ เมื่อวานนี้ (27 ก.ย.) ว่า ได้มีการหารือร่วมกันในประเด็นการค้า การลงทุน และการส่งออก โดยหอการค้าไทย ได้หยิบยกและนำเสนอใน 5 ประเด็นสำคัญ ได้แก่
1) กฎระเบียบการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งเน้นเรื่องการเร่งรัดการเจรจาข้อตกลงเสรีการค้า (FTA) ที่กำลังเจรจาอยู่ให้แล้วเสร็จ รวมถึงเปิดการเจรจาเพิ่มในตลาดที่สำคัญ เพื่อเป็นการยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย เป็นต้น
2) การอำนวยความสะดวกในการดำเนินธุรกิจแก่ภาคเอกชน ให้สอดคล้องกับ e-Government
3) การนำเข้า-ส่งออก ซึ่งควรเน้นสินค้าและตลาดที่สำคัญ
4) การค้าปลีก
5) การยกระดับตัวเลขการค้าชายแดน
นายสนั่น กล่าวว่า ส่วนใหญ่ข้อเสนอของภาคเอกชนมีความสอดคล้องกับ 7 แนวนโยบายของกระทรวงพาณิชย์ ที่รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ ได้มอบเป็นนโยบายหลัก ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้รับข้อเสนอของภาคเอกชนไว้ และมอบให้กรมที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการต่อ โดยเรื่องใดแก้ไขได้ทันทีก็จะเร่งดำเนินการ แต่หากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานอื่นหรือแก้ทันทีไม่ได้ ก็จะมีการตั้งกลุ่มย่อย เชิญภาคเอกชนมาให้ข้อมูล และดูในรายละเอียดของแต่ละประเด็นก่อนที่จะมีมาตรการออกมา ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะมุ่งเน้นการดูแลค่าครองชีพให้กับประชาชนเป็นเรื่องเร่งด่วน
สำหรับการเยือนสหรัฐฯ ของนายกรัฐมนตรีในการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 78 (UNGA78) ที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา และการพบปะหารือกับภาคธุรกิจยักษ์ใหญ่ของโลก ทั้งบริษัทที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ธุรกิจด้านเทคโนโลยีดิจิทัล และสถาบันการเงินและกองทุนระดับโลก เอกชนมองว่าถือเป็นความสำเร็จและน่าชื่นชมรัฐบาลที่ได้ให้ความสำคัญกับการดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ ซึ่งจะเห็นได้ว่ารัฐบาลชุดนี้ ให้ความสำคัญกับการต่างประเทศ โดยเฉพาะการเจรจาการค้าเป็นอย่างมาก ซึ่งส่วนนี้จะช่วยสนับสนุนให้ภาคการส่งออกของไทยขยายตัวได้เนื่อง
"เชื่อว่ารัฐบาลจะเดินหน้าสานต่อข้อตกลงทางการค้าระหว่างประเทศ ที่ไทยได้เริ่มดำเนินการกับหลายประเทศ เพื่อเร่งขยายตลาดใหม่ ๆ โดยเฉพาะ FTA ไทย-EU และอีกหลายฉบับ ไปพร้อมกับการจัด Road Show ขยายตลาดใหม่ ไปยังประเทศกลุ่มเป้าหมายที่มีศักยภาพ เช่น จีน ซาอุดิอาระเบีย และตะวันออกกลาง อินเดีย และประเทศแถบแอฟริกา เพื่อดึงดูดการลงทุนใน EEC ในสาขาที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนทั้งกลุ่ม EV พลังงานสะอาด AI เกษตรสมัยใหม่ สุขภาพ และ FinTech ให้มากที่สุด เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันของไทยในเวทีโลกมากขึ้น โดยเอกชนหวังว่าโมเมนตัมดังกล่าว จะส่งผลให้เกิดการลงทุนจริงในระยะต่อไป" นายสนั่น ระบุ