นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) กล่าวว่า สภาพแวดล้อมในการทำธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศในช่วงที่ผ่านมายังถือว่าไม่เอื้อต่อการทำธุรกิจ ทั้งจากปัจจัยความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับ Climate change ที่นำมาซึ่งมาตรการกีดกันทางการค้าของสหภาพยุโรป เกิดเป็นข้อจำกัดและโอกาสของภาคธุรกิจ
ส่วนประเทศไทยยังเผชิญกับโครงสร้างประชากรที่กำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย จากอัตราการเกิดลดลง ทำให้จำนวนประชากรที่จะสร้างผลิตภาพให้กับประเทศลดลง กระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศ หากมองไปในระยะข้างหน้าถือว่าความท้าทายของประเทศยังคงมีอยู่มาก และมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
"ถ้าเปรียบเศรษฐกิจไทยและประเทศไทยก็เหมือนรถยนต์ที่กำลังนำพาประเทศไทยและคนไทยไปสู่เป้าหมาย แม้ระหว่างทางจะขรุขระ แต่หากมีเทคโนโลยี หรือนวัตกรรมใหม่ๆ ที่สามารถนำมาอัพเกรดให้รถยนต์สามารถวิ่งได้เร็ว แรง และปลอดภัย ก็สามารถที่จะนำพาคนไทยและประเทศไทยไปสู่เป้าหมายได้" นางสาวขัตติยา กล่าว
ด้านบทบาทของสถาบันการเงินในประเทศต่อธุรกิจไทย จะต้องทำงานร่วมกันและประสานกันอย่างสมดุล ไม่เน้นเรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยหน่วยงานกำกับที่ดูแล ต้องทำหน้าที่เป็น GPS นำทางออกกฎ และวางโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อให้ภาคธุรกิจที่แท้จริง หรือกลุ่ม Real Sector ที่เป็นเครื่องยนต์ที่มีสมรรถนะ สามารถแข่งขันในเวทีต่างๆได้ ส่วนสถาบันการเงินจะเป็นเหมือนตัวจ่ายพลังงานให้ภาคธุรกิจทำหน้าที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อไปได้ โดยหน้าที่ของสถาบันการเงินจะต้องทำให้ต้นทุนทางการเงินต่ำ ไม่ให้เป็นภาระ เพื่อให้ธุรกิจเดินหน้าต่อไปได้และสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้ในต้นทุนที่ต่ำ
หากดูโครงสร้างต้นทุนของผู้ประกอบการระหว่าง 100-300 ล้านบาท พบว่า โครงสร้างต้นทุนที่มากที่สุด คือ วัตถุดิบ แรงงาน ที่ดิน อาคาร เครื่องจักร ที่มีสัดส่วนมากกว่า 80% หากสามารถเพิ่มผลิตภาพทางการผลิตด้วยการนำนวัตกรรมหรือนำเทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามา จะหนุนให้เพิ่ม Productivity ได้มาก ขณะที่ต้นทุนทางการเงินจากสถาบันการเงินมีเพียง 5% เท่านั้น แต่ก็เป็นหน้าที่ของสถาบันการเงินด้วยเช่นกันในการช่วยลดต้นทุนทางการเงิน เพื่อสนับสนุนความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจไทย