นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง กล่าวถ้อยแถลงในการประชุม High-Level Forum ภายใต้หัวข้อ "Green Silk Road for Harmony with Nature" ที่กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยกล่าวชื่นชมความสำเร็จในโอกาสครบรอบ 10 ปี ของข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง (Belt and Road Initiative: BRI) พร้อมเน้นย้ำแนวคิดเกี่ยวกับความเชื่อมโยง (Connectivity) เป็นกลไกสำหรับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน
การประชุมในครั้งนี้ จะเป็นโอกาสอันดีในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายในทุกรูปแบบ ตั้งแต่การแพร่ระบาดครั้งใหญ่ ไปจนถึงการถดถอยทางเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ รวมถึงการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งล้วนเกิดจากการเสื่อมถอยของความกลมกลืนระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ
นายกรัฐมนตรี เชื่อมั่นว่า การพัฒนาอย่างยั่งยืน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นสิ่งจำเป็นในการขับเคลื่อน BRI ไปสู่ความร่วมมือสายแถบและเส้นทางคุณภาพสูง (High-Quality Belt and Road Cooperation) เพื่อการพัฒนาและความรุ่งเรือง (Common Development and Prosperity) โดยไทยมุ่งมั่นที่จะนำบทเรียนจากโครงการนี้ไปเป็นแนวปฏิบัติภายในประเทศ ซึ่งได้ให้คณะรัฐมนตรีวางแนวทางการศึกษา และแผนการดำเนินงานโครงการ Land Bridge เชื่อมโยงทะเลอันดามันและมหาสมุทรอินเดียเข้ากับอ่าวไทยและมหาสมุทรแปซิฟิก รวมถึงปรับปรุงการเชื่อมต่อในพื้นที่อันดามันทางตอนใต้ ลดระยะเวลาในการเดินทางผ่านช่องแคบมะละกา ภายใต้แนวคิด "One Port, Two Sides" ในระยะทางทางบก 90 กิโลเมตรทางภาคใต้ของไทย โดยหวังว่าโครงการนี้จะทำงานร่วมกับโครงสร้างพื้นฐานของ BRI และมีส่วนช่วยสนับสนุนการเชื่อมโยงในระดับโลก
ทั้งนี้ ไทยมุ่งมั่นส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนในเวทีระหว่างประเทศมายาวนาน ตั้งแต่ปี 2559 โดยไทยทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานด้านความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนอาเซียน ซึ่งได้ส่งเสริมความร่วมมือทั้งภายในอาเซียน และทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมความร่วมมือกับพันธมิตรภายนอก
นอกจากนี้ ในการที่ไทยเป็นเจ้าภาพการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ปี 2565 ซึ่งสามารถบรรลุเป้าหมาย 2 ประการ ได้แก่ ประการแรก เป้าหมายกรุงเทพฯ ว่าด้วยเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bangkok Goals on Bio-Circular-Green (BCG) Economy) นำมาใช้เป็นกรอบการทำงานที่ครอบคลุมกรอบแรกของเอเปค ในการผลักดันวาระการพัฒนาที่ยั่งยืนแบบพลิกโฉมและทะเยอทะยาน ประการที่สอง การเปิดตัวรางวัล APEC BCG Awards ซึ่งไทยเป็นผู้ริเริ่ม และได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากจีน เพื่อสร้างความตระหนักรู้ และความรู้สึกไม่แบ่งแยก
นายกรัฐมนตรี ยังได้เสนอแนวทางการดำเนินงาน เพื่อบรรลุวิสัยทัศน์ "เส้นทางสายไหมสีเขียวเพื่อความกลมกลืนกับธรรมชาติ" 4 ประการ ได้แก่
ประการแรก การเปลี่ยนผ่านสีเขียว (Green Transition) ในทุกภาคส่วน เพื่อจำกัดความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อม โดยส่งเสริมการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืนในทุกกิจกรรมทางเศรษฐกิจ สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัลและเทคโนโลยีใหม่ ๆ โดยไทยกำลังดำเนินการตามยุทธศาสตร์ระยะยาวพัฒนาแบบปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำ และได้ปรับแผนพลังงานแห่งชาติ เปลี่ยนการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลมาเป็นพลังงานสะอาด ส่งเสริมการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน พร้อมตั้งเป้าหมายเพิ่มการผลิตรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ให้ได้อย่างน้อย 30% ภายในปี ค.ศ. 2030
รวมทั้งใช้แนวคิดเรื่องพืชไร่ที่ยั่งยืน ลดความเปราะบางจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และปรับปรุงคุณภาพชีวิตของเกษตรกร โดยนายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นวาจะทำให้ไทยสามารถบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 40% ภายในปี ค.ศ. 2030 เพื่อบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี ค.ศ. 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี ค.ศ. 2065
ประการที่สอง การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไทยตั้งเป้าหมายเพิ่มพื้นที่สีเขียวทุกประเภทให้ครอบคลุม 55% ของพื้นที่ทั้งหมด และเป้าหมาย 30 x 30 เพิ่มพื้นที่คุ้มครองทางทะเล 30% ภายในปี ค.ศ. 2030 ตามที่ไทยได้ให้คำมั่นไว้ในการประชุมสมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ (COP CBD) เมื่อเดือนธ.ค.65 โดยนายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่า การปฏิบัติตามแนวทางเศรษฐกิจสีน้ำเงินที่ยั่งยืน จะมีส่วนสำคัญในการบรรลุเส้นทางสายไหมทางทะเลสีเขียว
ประการที่สาม การส่งเสริมกลไกการเงินสีเขียว (Green Finance Mechanism) เป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดสรรเงินทุนสำหรับการเปลี่ยนผ่านสีเขียว ซึ่งขณะนี้ไทยสามารถระดมเงินได้ถึง 12.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ผ่านการออกพันธบัตรเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) เป็นทุนสนับสนุนโครงการด้านความยั่งยืน และในเร็ว ๆ นี้ ไทยจะวางแผนออกพันธบัตรที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืน (Sustainability Linked Bonds) อีกชุด กระตุ้นการเติบโตของตลาดพันธบัตรสีเขียว ตลอดจนสนับสนุนให้ภาคเอกชนและ MSMEs ดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ประการที่สี่ การส่งเสริมความร่วมมือพหุภาคี สร้างโอกาสในการทำงานร่วมกัน ร่วมมือ แบ่งปันความรู้ และกระตุ้นให้เกิดการสร้างนวัตกรรมเพื่อสวัสดิการของประชาชน
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำการทำงานร่วมกัน ภายใต้ BRI และสร้างความร่วมมือเพื่อการเติบโตที่ยั่งยืน ครอบคลุม และเท่าเทียมกันสำหรับทุกคน
ทั้งนี้ การประชุม High-Level Forum แบ่งเป็น 3 หัวข้อ ได้แก่ Green, Connectivity และ Digital ซึ่งจัดขึ้นคู่ขนานกัน โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวถ้อยแถลงในหัวข้อ Green ซึ่งมีนายหาน เจิ้ง รองประธานาธิบดีจีน เป็นประธานการประชุมฯ และมีผู้นำจากหลายประเทศร่วมกล่าวถ้อยแถลง