นายพิชัย นริพทะพันธุ์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีเสียงวิพากษ์วิจารณ์โครงการดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาทของรัฐบาลว่า อยากให้มองอนาคตภาพรวมปัญหาเศรษฐกิจของโลกที่กำลังจะแย่ ซึ่งหากมีวิสัยทัศน์ที่ไกล เชื่อว่าอีกไม่กี่เดือนปัญหาจะทยอยเกิดขึ้นตามมา ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเศรษฐกิจถดถอยของจีน ซึ่งไม่ต่างจากสหรัฐอเมริกาที่จะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ย และจะส่งผลกระทบไปทั้งโลก รวมถึงการสู้รบในอิสราเอล และความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ก็จะทำให้ราคาน้ำมันโลกสูงขึ้น
"หากโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ออกมาในจังหวะพอดีช่วงเศรษฐกิจโลกเกิดปัญหา มองว่าจะช่วยประคองเศรษฐกิจไทยไปได้ ซึ่งอยากเห็นเศรษฐกิจไทยโต 5% ตามหลักเศรษฐศาสตร์เชื่อว่า ถ้ามีเม็ดเงินจากข้างนอกเข้ามา จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ ดังนั้นบางส่วนอาจจะเป็นเงินงบประมาณเดิม บางส่วนเป็นเงินนอกงบประมาณ" นายพิชัย กล่าว
ส่วนแนวโน้มการออก พ.ร.ก.กู้เงินมาใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ตนั้น นายพิชัย กล่าวว่า ต้องสอบถามจากนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ที่ดูแลโครงการนี้โดยตรง แต่ตามหลักเศรษฐศาสตร์ทั่วไป หากนำเงินเก่ามาใช้ จะไม่เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ ต้องใช้เงินจากข้างนอกและข้างในมาช่วย เพื่อให้เศรษฐกิจฟื้นตัว เพราะใช้เงินเก่าไม่กระตุ้น ต้องใช้เงินใหม่
ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หากมองย้อนหลังไปในช่วง 5 เดือน จะพบว่าเงินเฟ้อของไทยต่ำมาก เพียง 0.2-0.8% ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ดี ในขณะที่ทั่วโลกอย่างสหรัฐฯ เงินเฟ้อโตขึ้น 3-4% ส่วนยุโรปขึ้น 5-6% เช่นเดียวกับอังกฤษ นั่นหมายความว่ากำลังซื้อของคนไทยกำลังลดลง เหมือนจีนที่กำลังซื้อติดลบ
"นั่นหมายความว่า คนไม่มีกำลังซื้อ แม้จะมีการลดราคาของ แต่คนก็ไม่มีกำลังซื้อ ซึ่งเป็นปัญหา ดังนั้นจึงต้องมีโครงการต่างๆเพื่อมากระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะมีการอัดฉีดเงินในระบบไหนก็ตาม จึงเป็นเรื่องที่จำเป็น ดังนั้นการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจต้องดูที่ภาพใหญ่ ตามหลักการของพรรคเพื่อไทย คือ คิดใหญ่ทำเป็น" นายพิชัย ระบุ
นายพิชัย กล่าวว่า ล่าสุด หนี้สาธารณะของไทยมีมูลค่า 11 ล้านล้านบาท แต่เศรษฐกิจเติบโตเพียงแค่ 1%กว่าๆ แต่เชื่อว่าต่อไปนี้จะต้องดีขึ้น ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้มีการเดินสายพบปะนักลงทุนเพื่อชักชวนให้เข้ามาลงทุนในประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ เพราะที่ผ่านมาถือว่าการลงทุนในไทยไม่ดี การส่งออกก็ชะลอตัว แต่ขณะนี้มีทิศทางที่ดีขึ้น นักลงทุนสนใจจะมาลงทุนยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ในไทย
ขณะเดียวกัน ความเชื่อมั่นมีมากขึ้น หลังเปลี่ยนรัฐบาล และเชื่อมั่นในตัวนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีที่มาจากภาคธุรกิจและมีประสบการณ์ จึงเป็นสัญญาณที่ค่อนข้างดีสำหรับนักลงทุนที่จะมาลงทุนในประเทศไทย เพียงแต่ภาวะเศรษฐกิจโลก อาจยังไม่เอื้ออำนวย ซึ่งต้องฝ่าฟันกับภาวะเศรษฐกิจโลกในภาวะเช่นนี้ด้วย ต้องจับตาว่าเมื่อเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวแล้ว ประเทศไทยจะก้าวต่ออย่างไร