ภาวะตลาดเงินบาท: ปิด 36.50/52 อ่อนค่าหลังตลาดหุ้นร่วงแรง คาดกรอบสัปดาห์หน้า 36.30-36.30

ข่าวเศรษฐกิจ Friday October 20, 2023 17:38 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้อยู่ที่ 36.50/52 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าจากเปิดตลาด เมื่อเช้าที่ระดับ 36.45 บาท/ดอลลาร์ โดยระหว่างวันเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 36.40 - 36.55 บาท/ดอลลาร์

เงินบาทอ่อนค่าในช่วงบ่าย เนื่องมาจากหุ้นไทยติดลบค่อนข้างแรง ด้านสกุลเงินในภูมิภาคเคลื่อนไหวทิศทางเดียวกับเงินบาท สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตามคืนนี้ คือ การแถลงของสมาชิกคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC)

นักบริหารเงิน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันอังคารไว้ที่ 36.30 - 36.60 บาท/ดอลลาร์

  • ปัจจัยสำคัญ
  • เงินเยนอยู่ที่ 149.93/96 เยน/ดอลลาร์ จากเมื่อเช้าที่ระดับ 149.92 เยน/ดอลลาร์
  • เงินยูโรอยู่ที่ 1.0589/0593 ดอลลาร์/ยูโร จากเมื่อเช้านี้ที่ระดับ 1.0567 ดอลลาร์/ยูโร
  • ดัชนี SET ปิดวันนี้ที่ 1,399.35 จุด ลดลง 23.69 จุด (-1.66%) มูลค่าการซื้อขาย 52,983.02 ล้านบาท
  • สรุปปริมาณการซื้อขายรายกลุ่ม ต่างชาติขายสุทธิ 1,237.01 ลบ.
  • ราคาทอง (ทองคำ 96.5%) ในประเทศ ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากวานนี้บาททองคำละ 450 ตามทิศทางราคาทองในตลาดโลก
จากสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางมีแนวโน้มบานปลาย ทำให้มีแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
  • ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวถึงสถานการณ์สงครามอิสราเอลและกลุ่มฮามาสว่า ในส่วน
ของผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมนั้น เนื่องจากการค้าขายโดยตรงระหว่างไทยกับอิสราเอลมีมูลค่าไม่มากนัก ดังนั้น ในทางตรงเราได้รับ
ผลกระทบสั้นๆ แต่ผลกระทบทางจิตวิทยา คาดว่าอาจกระทบราคาน้ำมัน เนื่องจากอิสราเอลอยู่ใกล้ตะวันออกกลาง ทั้งนี้ หากสถานการณ์
สงครามไม่บานปลาย แต่ก็อาจมีผลกดดันราคาน้ำมัน ประกอบกับเป็นช่วงใกล้ฤดูหนาว ราคาน้ำมันจึงขยับขึ้นไปอยู่ที่ประมาณ 80-90
ดอลลาร์/บาร์เรล แต่เชื่อว่าคงไม่ทะลุ 100 ดอลลาร์/บาร์เรล
  • ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือนก.ย. 66 อยู่ที่ระดับ 90.0 ปรับตัวลดลงจาก 91.3 ในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นการลด
ลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 เป็นผลมาจากภาคการผลิตที่ชะลอตัว กำลังซื้อในประเทศอ่อนแอ ขณะที่อุปสงค์จากประเทศคู่ค้าชะลอตัวตามภาวะ
เศรษฐกิจโลก และการอ่อนค่าของเงินบาท เนื่องจากเงินทุนไหลออกจากประเทศในช่วงที่ผ่านมา จากความกังวลต่อการปรับขึ้นดอกเบี้ย
ของเฟด รวมถึงการปรับขึ้นดอกเบี้ยของ ธปท. นอกจากนี้ ยังมีสถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่ อย่างไรก็ตาม เดือนก.ย. มีปัจจัยสนับสนุน
จากมาตรการรัฐช่วยเหลือค่าครองชีพประชาชน รวมทั้งการฟื้นตัวต่อเนื่องของภาคท่องเที่ยว
  • ธนาคารกลางจีน (PBOC) อัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบการเงินจำนวนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 7.33 แสนล้านหยวน (1 แสน
ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในวันนี้ โดยดำเนินการผ่านทางสัญญาซื้อคืน (reverse repurchase contracts) ซึ่งเป็นเครื่องมือทางการเงิน
ระยะสั้นของจีน และการดำเนินการดังกล่าวบ่งชี้ว่าจีนมีเป้าหมายที่จะรักษาต้นทุนการกู้ยืมให้อยู่ในระดับต่ำเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
  • ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ได้เข้าแทรกแซงตลาดพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นในวันนี้ ซึ่งเป็นการแทรกแซงครั้งที่ 5 ในเดือนนี้
หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดใหม่ในรอบ 10 ปี ซึ่งเป็นความพยายามที่จะป้องกันไม่ให้อัตราผล
ตอบแทนพันธบัตรญี่ปุ่นพุ่งขึ้นตามทิศทางอัตราผลตอบแทนพันธบัตรของรัฐบาลสหรัฐ
  • รัฐบาลญี่ปุ่นเปิดเผยในวันนี้ (20 ต.ค.) ว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core CPI) ซึ่งไม่รวมราคาอาหารสด แต่รวม
เชื้อเพลิง เพิ่มขึ้น 2.8% ในเดือนก.ย. เมื่อเทียบเป็นรายปี โดยอยู่ต่ำกว่าระดับ 3% เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนส.ค. 2565 และชะลอ
ตัวลงจากระดับ 3.1% ในเดือนส.ค.
  • มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส ประกาศทบทวนอันดับความน่าเชื่อถือของอิสราเอล โดยมีแนวโน้มที่จะปรับลดอันดับความน่า
เชื่อถือซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ A1 เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับความขัดแย้งที่รุนแรงและไม่คาดคิดระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาสซึ่งเป็นกลุ่มติด
อาวุธในปาเลสไตน์
  • กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่า อินเดียจะมีส่วนมากขึ้นในการผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจโลก

ในอีก 5 ปีข้างหน้า เนื่องจากเศรษฐกิจอินเดียยังคงขยายตัวอย่างรวดเร็ว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ