นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รมช.พาณิชย์ เปิดเผยหลังหารือกับนายคุโรดะ จุน (KURADA Jun) ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น ประจำกรุงเทพฯ (JETRO) กรุงเทพฯ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่า ได้เสนอให้ JETRO กรุงเทพฯ สนับสนุนข้อมูลและความร่วมมือในการผลักดันศักยภาพของ SMEs และผู้ประกอบการไทย เพื่อเสริมสร้างสภาพแวดล้อมทางด้านเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุน ให้เกิดความยั่งยืนระหว่างกัน พร้อมทั้งส่งเสริมและผลักดันการนำเข้าสินค้าเกษตรของไทยไปตลาดญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น
โดยเฉพาะการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกกล้วยหอมทอง โดยจัดหาบริษัทสตาร์ตอัปของญี่ปุ่น ที่มีเทคโนโลยีช่วยจัดเก็บข้อมูลและปรับปรุงการปลูกกล้วยหอมอย่างเป็นระบบและแม่นยำ มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและปริมาณผลผลิต รวมทั้งสร้างโอกาสในการส่งออกกล้วยหอมไทยไปตลาดญี่ปุ่น
นายนภินทร กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์กับ JETRO กรุงเทพฯ จะร่วมกันจัดสัมมนาให้ความรู้กับผู้ประกอบการไทยและญี่ปุ่นที่อยู่ในประเทศไทย เพื่อส่งเสริมการใช้สิทธิประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี (FTA) ในการขยายการส่งออกไปญี่ปุ่น ซึ่งปัจจุบันมี FTA ร่วมกัน 3 ฉบับ ได้แก่ ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจอาเซียน-ญี่ปุ่น (AJCEP) และความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP)
โดยในช่วงครึ่งปีแรก (ม.ค.-มิ.ย.66) ผู้ส่งออกไทยขอใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ FTA ทั้ง 3 ฉบับ รวมกันถึง 77% ของมูลค่าการส่งออกสำหรับสินค้าที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทั้งหมด หรือมูลค่า 3,602 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
"รัฐบาลมีนโยบาย "การทูตเศรษฐกิจเชิงรุก" เพื่อเปิดประตูการค้าสู่ตลาดใหม่และรักษาตลาดเดิม โดยกระทรวงพาณิชย์ได้เร่งเจรจา FTA กับคู่ค้าใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และให้ไทยกลายเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานการผลิตสินค้าและบริการของโลก พร้อมทั้งได้ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมให้ภาคเอกชนใช้สิทธิประโยชน์จาก FTA อย่างเต็มที่" นายนภินทร ระบุ
ด้านประธาน JETRO กรุงเทพฯ ให้ข้อมูลว่า ญี่ปุ่นสนับสนุนให้ไทยมีบทบาทนำในภูมิภาคอาเซียน และญี่ปุ่นยังมีความสนใจที่จะลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น ทั้งที่เป็นเอกชนรายใหญ่ และเอกชนขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) รวมถึงสตาร์ตอัปของญี่ปุ่นที่จะเข้ามามีบทบาทช่วยพัฒนาเศรษฐกิจไทยอีกด้วย โดยได้เชิญชวนนักลงทุนไทยไปลงทุนในญี่ปุ่น ซึ่งปัจจุบันมีธุรกิจโรงแรมไปลงทุนในญี่ปุ่นแล้ว จึงหวังว่าทั้งสองประเทศจะขยายการลงทุนระหว่างกันมากขึ้น
นอกจากนี้ ญี่ปุ่นพร้อมพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจการค้ากับไทยให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น อาทิ การเข้าร่วมงานแสดงสินค้านานาชาติในไทย การจัดสัมมนาให้ความรู้เรื่องการใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง และการจัดอบรมด้านทรัพย์สินทางปัญญาให้กับบุคลากรทรัพย์สินทางปัญญาของไทย
ทั้งนี้ ในช่วง 8 เดือน (ม.ค.-ส.ค.66) การค้าระหว่างไทยและญี่ปุ่น มีมูลค่า 38,210 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไทยส่งออกไปญี่ปุ่น มูลค่า 24,656 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และไทยนำเข้าจากญี่ปุ่น มูลค่า 34,477 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ไก่แปรรูป แผงวงจรไฟฟ้า เครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่องจักรกล และเคมีภัณฑ์ และสินค้านำเข้าสำคัญ ได้แก่ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ ส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ และเคมีภัณฑ์