ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยจะสามารถฟื้นตัวต่อได้จากการบริโภคภาคเอกชน และภาคบริการเป็นหลัก ตามจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไทยยังมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นในไตรมาส 4 โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากอาเซียน เอเชียตะวันออก และยุโรป
อย่างไรก็ดี การสูญเสียความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวจีนบางส่วน และผลกระทบจากการยกระดับสงครามในอิสราเอล ส่งผลให้การเร่งตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติชะลอตัวลงกว่าที่คาด ขณะที่ความต้องการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศของนักท่องเที่ยวไทย จะยังอยู่ระดับสูงต่อเนื่อง อีกทั้งการส่งออกสินค้าไทยที่เริ่มมีสัญญาณฟื้นตัว และคาดว่าจะกลับมาขยายตัวชัดเจนขึ้นในไตรมาส 4 จากราคาสินค้าส่งออกที่เพิ่มขึ้นตามภาวะเอลนีโญ ราคาสินค้าส่งออกเกี่ยวกับพลังงานที่สูงขึ้น รวมถึงผลจากปัจจัยฐานต่ำ
ในกรณีฐาน SCB EIC คาดว่า สงครามอิสราเอล-ปาเลสไตน์ จะกระทบเศรษฐกิจไทยโดยตรงผ่านการท่องเที่ยว และการส่งออกสินค้าไม่มากนัก แต่หากสงครามครั้งนี้ขยายวงกว้างไปในภูมิภาคตะวันออกกลาง อาจกระทบต่อศักยภาพการส่งออกของไทยในภูมิภาคนี้ รวมถึงอาจกระทบแรงงานไทยที่ทำงานในอิสราเอลและประเทศอื่นในภูมิภาคนี้ได้
ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไป มีแนวโน้มเร่งขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้ และปี 67 จากราคาสินค้าเกษตรที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง และนโยบายจำกัดการส่งออกสินค้าเกษตรของบางประเทศ รวมถึงราคาพลังงานที่คาดว่าจะทรงตัวในระดับสูง จากการขยายระยะเวลาลดกำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC+ และความไม่แน่นอนของสงครามในอิสราเอลฯ
อย่างไรก็ดี แรงกดดันจากเศรษฐกิจจีนที่มีแนวโน้มเติบโตชะลอลง และมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพของภาครัฐ โดยเฉพาะด้านพลังงาน จะมีส่วนช่วยให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในระยะข้างหน้า เคลื่อนไหวอยู่ในกรอบเป้าหมายได้
SCB EIC คาดว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย จะคงอยู่ที่ระดับปัจจุบัน 2.50% ต่อเนื่องไปถึงปี 67 เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันอยู่ในระดับที่เหมาะสมกับการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพในระยะยาวแล้ว (Neutral rate) และสอดคล้องกับแนวโน้มเงินเฟ้อในระยะต่อไปที่จะเร่งตัวขึ้น อีกทั้ง อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริงจะกลับเป็นบวก ช่วยสร้างเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในระยะยาว
สำหรับค่าเงินบาทนั้น สงครามในอิสราเอล ได้ส่งผลให้ราคาน้ำมันโลก และราคาสินทรัพย์ปลอดภัยปรับสูงขึ้น แต่ไม่กระทบค่าเงินบาทมากนัก จากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ส่งสัญญาณ Dovish comments และเงินทุนเคลื่อนย้ายไหลกลับเข้าตลาดพันธบัตรไทย มุมมองค่าเงินบาทจะปรับแข็งค่าขึ้นในไตรมาส 4 และทยอยแข็งค่าต่อเนื่องในปี 67
ดังนั้น จากแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย และนโยบายการเงินของ Fed ที่จะตึงตัวน้อยลงในปี 67 ทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐจะทยอยอ่อนค่าลง โดยคาดว่าเงินบาทจะอยู่ที่ระดับ 35-36 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปี 66 และแข็งค่าสู่ระดับ 33-34 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปี 67
SCB EIC ประเมินว่า เศรษฐกิจโลกในภาพรวมขยายตัวได้ในอัตราชะลอลง เป็นผลจากกิจกรรมภาคบริการที่เริ่มมีสัญญาณชะลอลง ขณะที่กิจกรรมภาคการผลิตยังหดตัวต่อเนื่อง นำโดยเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงชัดเจนขึ้นในไตรมาส 4 และต่อเนื่องในปี 67 จากความล่าช้าในการส่งผ่านผลของนโยบายการเงินตึงตัว เงินออมส่วนเกินเริ่มหมด และหนี้ครัวเรือนสูงขึ้น
ขณะที่เศรษฐกิจจีน กลับมาขยายตัวแข็งแกร่งขึ้นในไตรมาส 3 ทั้งในภาคบริการและการผลิต ในระยะต่อไป เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มฟื้นตัว ส่วนหนึ่งจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่คาดว่าจะออกมาเพิ่มเติม แต่จะยังคงเผชิญปัจจัยกดดันเชิงโครงสร้างในระยะปานกลาง-ยาว
ส่วนอัตราเงินเฟ้อในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลัก เริ่มชะลอลงบ้าง แต่ยังอยู่ในระดับสูง SCB EIC คาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ ธนาคารกลางยุโรป และธนาคารกลางอังกฤษ จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับสูงจนถึงกลางปี 67 ก่อนจะทยอยปรับลดดอกเบี้ยลงในช่วงครึ่งหลังของปีหน้า
มองไปข้างหน้า เศรษฐกิจโลกยังต้องเผชิญความเสี่ยงหลายด้าน เช่น การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางที่อาจยังไม่สิ้นสุด ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่กลับมาเร่งตัวอีกครั้ง จากสงครามอิสราเอล-ปาเลสไตน์ และภาวะเอลนีโญ