กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) เปิดเผยมุมมองต่อทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ว่า มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 35.80-36.55 บาท/ดอลลาร์ เทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทปิดแข็งค่าที่ 36.20 บาท/ดอลลาร์ หลังซื้อขายในช่วง 36.06-36.55 บาท/ดอลลาร์ เงินดอลลาร์แข็งค่าเทียบกับสกุลเงินสำคัญส่วนใหญ่ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ข้อมูลเศรษฐกิจส่วนใหญ่ของสหรัฐฯ ยังคงบ่งชี้ถึงความแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่น ทางด้านธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากไว้ที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 4% หลังปรับขึ้นดอกเบี้ยมาแล้ว 10 ครั้งติดต่อกัน โดยประธานอีซีบีส่งสัญญาณว่าจะคงนโยบายการเงินไว้ตามเดิมต่อไปท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจอ่อนแอในยูโรโซน แต่หากความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ส่งผลให้ราคาพลังงานพุ่งขึ้นจะเพิ่มความเสี่ยงต่อแนวโน้มเงินเฟ้อ นอกจากนี้ อีซีบีไม่ได้หารือกันเกี่ยวกับการเลื่อนเวลายุติ Reinvestments ในโครงการซื้อสินทรัพย์ฉุกเฉินเพื่อบรรเทาผลกระทบจากโรคระบาด (PEPP) ให้เร็วขึ้นจากเดิม ทั้งนี้ สหรัฐฯ รายงานจีดีพีไตรมาส 3 ขยายตัว 4.9% ซึ่งสูงสุดในรอบเกือบ 2 ปี ขณะที่นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยสุทธิ 2,598 ล้านบาท แต่มียอดซื้อพันธบัตร 9,695 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยสุทธิ 2,598 ล้านบาท แต่มียอดซื้อพันธบัตร 9,695 ล้านบาท
สำหรับภาพรวมในสัปดาห์นี้ ตลาดจะให้ความสนใจกับผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) ซึ่งอาจมีการปรับนโยบาย Yield Curve Control (YCC) เพิ่มเติมในวันที่ 31 ต.ค. ส่วนธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีแนวโน้มคงดอกเบี้ยไว้ที่ 5.25-5.50% ในวันที่ 1 พ.ย. ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญนับตั้งแต่การประชุมเฟดเมื่อเดือน ก.ย.และนักลงทุนไม่มั่นใจว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะสามารถรักษาอัตราการเติบโตที่สูงมากไว้ได้ในระยะข้างหน้า นอกจากนี้คาดว่าธนาคารกลางอังกฤษ (บีโออี) จะคงดอกเบี้ยที่ 5.25% โดยท่าทีการสื่อสารของธนาคารกลางหลักหลายแห่งดังกล่าวและข้อมูลการจ้างงานเดือน ต.ค.ของสหรัฐฯ มีแนวโน้มสร้างความผันผวนให้กับอัตราแลกเปลี่ยนซึ่งอาจกระตุ้นให้ทางการญี่ปุ่นตัดสินใจเข้าพยุงค่าเงินเยนโดยเฉพาะในกรณีที่บีโอเจคงนโยบาย YCC ไว้ตามเดิม
ส่วนประเด็นในประเทศ นักลงทุนจะติดตามตัวเลขดุลบัญชีเดินสะพัดเดือน ก.ย. ทางด้านสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ปรับลดคาดการณ์จีดีพีไทยปี 66 เป็นเติบโต 2.7% จากเดิมคาดว่าจะขยายตัว 3.5% โดยอ้างถึงการหดตัวของส่งออกและการบริโภคภาครัฐ ส่วนในปี 67 คาดว่าเศรษฐกิจจะเติบโต 3.2% ซึ่งยังไม่รวมผลของโครงการ Digital Wallet