นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วม ภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยว่า ประเด็นด้านสงครามอิสราเอล-ปาเลสไตน์ มีผลกระทบด้านเศรษฐกิจโลก ให้เผชิญกับความ ไม่แน่นอนมากขึ้น ซึ่งอาจมีผลต่อการส่งออกในระยะข้างหน้า ที่ประชุม กกร.จึงได้ประมาณการส่งออกไว้เป็น -2.0 ถึง -1.0 (จาก ประมาณการเดิมเมื่อเดือนต.ค. 66 ที่ -2.0% ถึง -0.5%)
อย่างไรก็ตาม สินค้าส่งออกหลักของประเทศไทย คือ สินค้าเกษตร และยานยนต์ ยังมีแนวโน้มขยายตัวในช่วงที่เหลือของปี
นอกจากนี้ ที่ประชุม กกร. มีความกังวลต่อค่าเงินบาทที่อยู่ในทิศทางอ่อนค่า แม้ว่าสอดคล้องกับสกุลเงินอื่นๆ แต่เป็นปัจจัยกด ดันให้ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุล จากความเสี่ยงที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกจะปรับตัวสูงขึ้น
กรอบประมาณการเศรษฐกิจปี 66 ของ กกร. %YoY ปี 2566 (ณ ก.ย.66) ปี 2566 (ณ ต.ค.66) ปี 2566 (ณ พ.ย.66) GDP 2.5-3.0 2.5-3.0 2.5-3.0 ส่งออก -2.0 ถึง -0.5 -2.0 ถึง -0.5 -2.0 ถึง -1.0 เงินเฟ้อ 1.7-2.2 1.7-2.2 1.7-2.2
นายสนั่น กล่าวว่า สงครามระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาส เป็นปัจจัยเสี่ยงใหม่ต่อเศรษฐกิจโลก สงครามส่งผลกระทบต่อ ราคาพลังงานในตลาดโลก หากสงครามรุนแรงและขยายวงกว้างไปถึงประเทศที่เป็นแหล่งผลิตน้ำมันดิบ ราคาน้ำมันดิบอาจพุ่งสูงแตะระดับ 140-150 ดอลลาร์ฯต่อบาเรลได้ อย่างไรก็ตาม หากอยู่ในวงจำกัด คาดว่าราคาน้ำมันดิบจะยังอยู่ต่ำกว่า 100 ดอลลาร์ฯต่อบาเรล และ เศรษฐกิจโลกในปีหน้าจะกระทบ 0.1-0.3% เท่านั้น
ส่วนผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยจากสงครามจะผ่านช่องทางการค้า การท่องเที่ยว และราคาพลังงานยังไม่มากนัก ไทยมีการ ค้ากับอิสราเอล ปาเลสไตน์ และประเทศรอบข้างเพียง 1.5 พันล้านดอลลาร์ฯ ต่อปี หรือต่ำกว่า 0.3% ของการค้าระหว่างประเทศ และ มีนักท่องเที่ยวราว 2 แสนคนต่อปี หรือต่ำกว่า 1% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติ แต่หากขยายวงกว้างอาจกระทบกับการค้ากับตะวันออกกลาง โดยรวม ซึ่งคิดเป็น 4% ของการส่งออกของไทยและกระทบกับต้นทุนนำเข้าพลังงานเป็นภาระการคลัง และค่าครองชีพของผู้บริโภค
นอกจากนี้ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยฟื้นชะลอลง กำลังซื้อของครัวเรือนไทยเริ่มแผ่วลง ขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมี แนวโน้มอยู่ที่ 28-29 ล้านคน น้อยกว่าประมาณการเดิมที่ 29-30 ล้านคน
อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายมาตรการยกเว้นการขอวีซ่านักท่องเที่ยวเพิ่มเติมให้กับอินเดียและไต้หวันในช่วง High season รวมทั้งแรงหนุนจากมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับประชาชนของภาครัฐ จะช่วยประคองเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของ ปีนี้
นอกจากนี้ กกร. หวังว่ารัฐบาลจะเดินหน้าปรับปรุงโครงสร้างต้นทุนพลังงานของประเทศในระยะยาว เพื่อเพิ่มขีดความ สามารถในการแข่งขัน โดยมีข้อเสนอเพิ่มเติมต่อนโยบายรัฐบาล ดังนี้
1. กกร. เห็นด้วยกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ กระเป๋าเงินดิจิทัล เพื่อช่วยประคับประคองกำลังซื้อภายในประเทศ และ ควรกำหนดกลุ่มเป้าหมายและผลลัพธ์ที่คาดหวังให้ชัดเจนในการเข้าร่วมโครงการ และควรใช้ระบบเดิมที่มีเสถียรภาพ ปลอดภัย และ ประชาชนมีความคุ้นชิน เน้นไปที่การต่อยอดและไม่ลงทุนซ้ำซ้อน
รวมทั้งควรมีการส่งเสริมให้เกิดการซื้อสินค้าที่มีการผลิตในประเทศ เพื่อสร้างรายได้ที่ยั่งยืนและต่อเนื่องให้กับกลุ่มเป้าหมาย เป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตและศักยภาพของประเทศ พร้อมทั้งสอดประสานกับนโยบายเศรษฐกิจอื่นๆ ให้เกิดความต่อเนื่อง และยกระดับขีด ความสามารถในการแข่งขันให้กับธุรกิจไทย
2. ในส่วนของนโยบายการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ กกร. เห็นว่าเนื่องจากสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ประกอบกับต้นทุนการ ผลิตที่อยู่ในระดับสูง และผู้ประกอบการยังอยู่ในช่วงฟื้นตัว จึงควรพิจารณาปรับค่าจ้างขั้นต่ำให้สอดคล้องตามสภาพเศรษฐกิจในแต่ละพื้นที่ โดยใช้กลไกของคณะกรรมการค่าจ้างไตรภาคีของแต่ละจังหวัดเป็นหลัก รวมทั้งส่งเสริมให้เกิดการจ้างงานตามทักษะ (Pay by Skill) เพื่อเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับแรงงานควบคู่ไปกับประสิทธิภาพแรงงาน (Productivity)
โดยที่ผ่านมา ภาคเอกชนได้ร่วมกับกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ดำเนินโครงการจัดทำมาตรฐานฝีมือแรงงานแล้ว 88 สาขา วิชาชีพ เช่น ช่างเชื่อมโลหะ ช่างซ่อมบำรุงเครื่องจักร ช่างประกอบยานยนต์ เป็นต้น ซึ่งได้เริ่มทดสอบไปแล้ว แต่ด้วยข้อจำกัดเรื่อง จำนวนศูนย์ทดสอบ เครื่องมือที่ไม่เพียงพอ รวมถึงงบประมาณในการสนับสนุน จึงไม่สามารถดำเนินโครงการได้เต็มศักยภาพ
ด้านนายเกรียงไกร เธียรนุกูล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่าแนวโน้มการส่งออกสินค้า อุตสาหกรรมในช่วง 2 เดือนที่เหลือของปีนี้ยังมีแนวโน้มไม่สดใส เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว และคาดว่าแนวโน้มการส่งออกใน ปี 67 จะชะลอตัวลงไปอีกจากสภาพเศรษฐกิจที่บอบช้ำ
สำหรับการปรับค่าจ้างขั้นต่ำนั้น มองว่า หากปรับขึ้นค่าแรงเร็วเกินไปจะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการแบกรับภาระต้นทุนไม่ ไหว
ส่วนกรณีที่มีการปรับราคาขายปลีกน้ำตาลทรายขึ้นอีกกิโลกรัมละ 4 บาทนั้น ในวันนี้ที่ประชุม กกร.ยังไม่มีการนำมาหารือ ซึ่ง จะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการด้านอาหารและเครื่องดื่ม แต่ในทางตรงกันข้ามปัจจุบันมีการรณรงค์ให้กินหวานลดลงและมีการใช้สารทดแทน ความหวาน