ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) มองกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทสัปดาห์หน้า (6-10 พ.ย.) ที่ระดับ 35.40-36.00 บาท/ดอลลาร์ จากปิดตลาดในวันศุกร์ที่ 3 พ.ย. 66 ที่ 35.71 บาท/ดอลลาร์ฯ (หลังแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 1 เดือนครึ่งที่ 35.70 บาทต่อดอลลาร์ฯ)
ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อของไทยเดือนต.ค. สัญญาณเงินทุนต่างชาติ ทิศทางสกุลเงินเอเชีย สถานการณ์ในอิสราเอล รวมถึงถ้อยแถลงของประธานเฟด และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเฟด
ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนก.ย. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพ.ย. (เบื้องต้น) และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามผลการประชุมธนาคารกลางออสเตรเลีย ดัชนี PMI ภาคบริการเดือนต.ค. ของญี่ปุ่นและยูโรโซน และตัวเลขเศรษฐกิจเดือนต.ค. ของจีน อาทิ ตัวเลขการส่งออก ดัชนีราคาผู้บริโภค และดัชนีราคาผู้ผลิต ด้วยเช่นกัน
สำหรับในสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทแข็งค่าสุดในรอบประมาณ 1 เดือนครึ่ง โดยเงินบาทปรับตัวผันผวนในช่วงก่อนการประชุมเฟด โดยเงินบาทแข็งค่าขึ้นในช่วงแรก เช่นเดียวกับสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาค ก่อนจะอ่อนค่ากลับมาในช่วงกลางสัปดาห์ตามการปรับตัวลงของราคาทองคำในตลาดโลกที่ไม่สามารถประคองตัวเหนือระดับ 2,000 ดอลลาร์ฯ ต่อออนซ์ได้ ขณะที่เงินดอลลาร์ ฟื้นตัวกลับมาบางส่วนตามทิศทางบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ และแรงซื้อคืนเงินดอลลาร์ฯ ก่อนการประชุมเฟด
อย่างไรก็ดี เงินบาทพลิกแข็งค่าหลังการประชุมเฟด ซึ่งคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ตามเดิมที่ 5.25-5.50% และมีท่าทีในเชิงคุมเข้มน้อยกว่าที่ตลาดกังวล ซึ่งทำให้ตลาดตีความว่า โอกาสที่จะเห็นการขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มเติมของเฟดในระยะข้างหน้า น่าจะลดน้อยลง นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ฯ ยังมีปัจจัยลบเพิ่มเติมจากตัวเลขจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐฯ ที่ออกมาแย่กว่าที่คาดด้วยเช่นกัน
สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 30 ต.ค.-3 พ.ย. 2566 นั้น นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 3,171 ล้านบาท และมีสถานะเป็น Net Outflows ออกจากตลาดพันธบัตรไทย 469 ล้านบาท (ขายสุทธิพันธบัตร 464 ล้านบาท และตราสารหนี้หมดอายุ 5 ล้านบาท)