นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีแล รมว.คลังแถลงความชัดเจนในโครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ตว่า ได้ทำงานร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ในการปรับเงื่อนไข โดยจะเป็นการเติมเงินเข้าระบบเศรษฐกิจ 6 แสนล้านบาท แบ่งเป็น ดิจิทัลวอลเล็ต 5 แสนล้านบาท ครอบคลุมประชาชนราว 50 ล้านคน และอีก 1 แสนล้านบาทในกองทุนเพิ่มขีดความสามารถ
พร้อมออกโครงการ e-Refund ซึ่งประชาชนจะได้รับภาษีคืนจากการจับจ่ายสินค้าและบริการรวมมูลค่าไม่เกิน 50,000 บาท จากร้านค้าที่อยู่ในระบบภาษี และเฉพาะที่ออกใบกำกับภาษีในรูปแบบ electronics เท่านั้น เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ในขณะที่จูงใจให้ให้ร้านค้าเข้าสู่ระบบภาษีดิจิทัลมากขึ้น มุ่งไปสู่การเป็น e-Government ในอนาคต
"นโยบายนี้จะส่งผลดีต่อประเทศ เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น เติมเงินในระบบเศรษฐกิจผ่านสิทธิการใช้จ่ายเพื่อให้ประชาชนมีบทบาทร่วมกับรัฐบาลในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจ" นายกรัฐมนตรี กล่าว
*เงื่อนไขดิจิทัลวอลเล็ต
- ให้สิทธิผู้ที่อายุเกิน 16 ปี รายได้ไม่ถึง 7 หมื่นบาท/เดือน เงินฝากรวมทุกบัญชีน้อยกว่า 5 แสนบาท
- ใช้จ่ายภายในอำเภอแบบ Face to Face ต้องเริ่มใช้ภายใน 6 เดือนหลังได้รับสิทธิ คาดเริ่มราว พ.ค.67 และใช้ได้ถึง เม.ย.70
- ใช้ซื้อสินค้า อาหาร เครื่องดื่ม สินค้าอุปโภคบริโภคได้เท่านั้น
- ไม่สามารถใช้กับบริการได้
- ไม่สามารถใช้ซื้อสินค้าออนไลน์ได้
- ไม่สามารถซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผลิตภัณฑ์ยาสูบ กัญชา กระท่อม พืชกระท่อม และผลิตภัณฑ์จากกัญชาและพืชกระท่อม
- ไม่สามารถนำไปซื้อบัตรกำนัล บัตรเงินสด ทองคำ เพชร พลอย อัญมณีได้
- ไม่สามารถนำไปชำระหนี้ได้
- ไม่สามารถจ่ายค่าเรียน ค่าเทอม ได้
- ไม่สามารถนำไปจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ หรือซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซธรรมชาติได้
- แลกเป็นเงินสดไม่ได้ แลกเปลี่ยนในตลาดต่างๆ ไม่ได้
- ประเภทร้านค้า
- ใช้ซื้อสินค้าได้ทุกร้านค้า ไม่ได้จำกัดแต่ร้านที่อยู่ในระบบภาษี
- ไม่จำเป็นต้องจด VAT
- ร้านค้ารถเข็น ร้านโชว์ห่วย ร้านค้าที่อยู่บนแอพเป๋าตัง ใช้ได้หมด แต่ต้องมีการลงทะเบียนรับสิทธิ และร้านค้าที่จะขึ้นเงินได้ต้องอยู่ในระบบภาษีเท่านั้น
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า Timeline ของโครงการ Digital Wallet จะใช้ระยะเวลาในการตีความโดยกฤษฏีกา และกระบวนการกฎหมายช่วงปลายปีนี้ นำเข้าสู่สภาฯ ช่วงต้นปีหน้า จัดเตรียมงบประมาณ และเปิดให้ประชาชนได้ใช้ในช่วงเดือน พ.ค.67
แต่ก่อนหน้านั้น โครงการ e-Refund จะเริ่มตั้งแต่เดือน ม.ค.67 เป็นต้นไป
ส่วนโครงการเสริมสร้างขีดความสามารถจะสามารถดำเนินการได้เดือน มิ.ย.เป็นต้นไป
"ทุกอย่างที่ผมแถลงไปวันนี้จะต้องเข้าสู่กระบวนการตามกฏหมาย และได้รับมติของคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง ทำงานอย่างรัดกุม ก่อนจะเข้า ครม. เพื่อให้ได้รับอนุมัติอย่างชัดเจนต่อไป"นายเศรษฐา ระบุ
ภายใต้โครงการดิจิทัลวอลเล็ต รัฐบาลจะพัฒนาต่อยอดระบบเป๋าตัง ซึ่งมีประชาชนลงทะเบียนอยู่แล้ว 40 ล้านคน และมีร้านค้าที่คุ้นเคยอยู่แล้วกว่า 1.8 ล้านร้านค้า เนื่องจากระบบเป๋าตังมีความพร้อมด้านเทคโนโลยีอยู่แล้ว ซึ่งจะลดระยะเวลา ประหยัดงบประมาณ และลดความซ้ำซ้อนในการสร้างและดูแลรักษาระบบ กระทรวงการคลังเอง ก็มีความคุ้นเคยในการกำกับดูแลและบริหารจัดการ ป้องกันการทุจริตต่างๆ
"เราจะพัฒนาต่อยอดระบบเป๋าตัง ให้สามารถทำงานโดยมี Blockchain อยู่ด้านหลังเป็นโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งระบบ Blockchain จะทำให้รัฐป้องกันการทุจริตได้ และหากมีใครฝ่าฝืนแก้ไข ทุจริต ระบบก็จะสามารถตรวจสอบได้ทันที การมีระบบ Blockchain จะนำไปสู่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับเศรษฐกิจดิจิทัลและการทำ e-Government ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง สร้างความโปร่งใส ลดการทุจริตได้อย่างเป็นรูปธรรม"
ส่วนโครงการเพิ่มขีดความสามารถ 1 แสนล้านบาท รัฐบาลจะลงทุนผลักดัยนน 13 อุตสาหกรมเป้าหมายของประเทศ ได้แก่ เกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ การบิน ท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ ยานยนต์สมัยใหม่ เชื้อเพลิงและเคมีชีวภาพ ศูนย์การแพทย์ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ เศรษฐกิจหมุนเวียน หุ่นยนต์ ดิจิทัล อาหารแห่งอนาคต ความมั่นคง พัฒนาบุคลากรและวิจัย
สำหรับแหล่งเงินทุนในโครงการ นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ไม่ได้มองแค่ตัวเลือกใดตัวเลือกนึง แต่ดูถึง Hybrid option ผสมผสานหลายๆแนวทางด้วย ความเป็นไปได้มากที่สุด คือ การออก พ.ร.บ.กู้เงิน 500,000 ล้านบาท ซึ่งต้องผ่านกระบวนการการตีความโดยกฤษฏีกา เพื่อให้ เป็นไปอย่างรอบคอบ รัดกุม และไม่ขัดต่อหลักกฏหมายที่เกี่ยวข้อง
พ.ร.บ.กู้เงินดังกล่าวจะระบุวัตถุประสงค์ของการกู้เงิน ระยะเวลาในการกู้เงิน แผนงานหรือโครงการที่ใช้จ่ายเงินกู้ วงเงินที่อนุญาตให้ใช้จ่ายเงินกู้ และหน่วยงานของรัฐ ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบการดำเนินแผนงานหรือโครงการที่ใช้จ่ายเงินกู้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ตเป็นไปด้วยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมาย
รัฐบาลจะทำการกู้เงินก็ต่อเมื่อ มีการนำเงินไปใช้และนำมาขึ้นเป็นเงินสด ซึ่งนี่จะเป็นการทำให้เงินในระบบทั้งหมดใหญ่ขึ้นกว่า 500,000 ล้านบาท ซึ่งจะหมุนเวียนและกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างมีนัย ผสมกับงบประมาณ 100,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในการดำเนินโครงการทั้งหมดที่จะดำเนินการในคราวนี้