นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ซึ่งร่วมในคณะเดินทางไปสหรัฐอเมริกา กับนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มีกำหนดจะพบปะผู้บริหารระดับสูงของบริษัทเป้าหมายในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ดิจิทัล และยานยนต์ไฟฟ้า (EV)
นายกรัฐมนตรี จะนำผู้ประกอบการไทยประมาณ 20 คนที่ร่วมเดินทางมาด้วย พบปะกับบริษัทชั้นนำของสหรัฐฯ เพื่อสร้างศักยภาพความร่วมมือในอนาคต โดยมีกิจกรรมภาคธุรกิจไทยพบปะพูดคุยกับภาคธุรกิจสหรัฐฯ กว่า 80 บริษัท เช่น การพบปะของบริษัท 3 อุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ อุตสาหกรรมรถ EV เช่น Tesla ต่อยอดจากที่เคยพบปะกันที่นิวยอร์ก โดยจะมาพูดคุยให้ลึกขึ้นและติดตามผล เนื่องจากไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตรถ EV ในภูมิภาค โดยช่วงที่ผ่านมา มีบริษัทรายใหม่หลายรายเข้ามาลงทุนในประเทศไทย เพื่อตั้งฐานการผลิต และส่งออกไปจำหน่ายยังประเทศต่าง ๆ
นายนฤตม์ กล่าวว่า ตลาด EV ในประเทศไทยเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา มียอดจดทะเบียนรถ EV มากกว่า 6,000 คัน เพิ่มขึ้น 7 เท่า เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงสุดในภูมิภาค เป็นสิ่งที่ทำให้ตลาดไทยเป็นที่ดึงดูดของค่ายรถยนต์ EV ที่ต้องการเข้ามาเปิดตลาดลงทุนในประเทศไทย
นอกจากนี้ คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ด EV) ที่นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ยังเห็นชอบมาตรการอื่นๆ ต่อเนื่องจาก EV ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยที่ต้องการให้ไทยเป็นผู้นำของภูมิภาคในการเป็นฐานผลิต EV และเป็น TOP 10 ของโลก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ไทยสามารถสร้างความมั่นใจในการดึงดูดนักลงทุนให้มาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้นได้
เลขาธิการบีโอไอ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี จะพบปะกับบริษัทเอกชนด้านดิจิทัลที่สำคัญ เช่น บริษัท AWS บริษัท Google และบริษัท ไมโครซอฟต์ โดยบริษัทอเมซอน ประกาศร่วมลงทุนในไทยในต้นปี 67 โดยลงทุนไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือเกือบ 200,000 ล้านบาท ระยะแรกลงทุนสร้าง Data Center 3 แห่ง เฟสแรกประมาณ 20,000 ล้านบาท ซึ่งจะเห็นว่าบริษัทต้องการร่วมทุนกับรัฐบาลไทย
ส่วนบริษัท Google และบริษัทไมโครซอฟต์ เป็นบริษัทที่นายกรัฐมนตรีได้ไปพบที่นิวยอร์ก และทำงานกันต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนให้เป็นรูปธรรมและพยายามดึงดูดให้บริษัทเหล่านี้ เข้ามาตั้งฐาน data center และ Cloud Service ในไทย รวมถึงมาช่วยยกระดับเรื่อง Digital Information รวมถึงการพัฒนาบุคลากรด้านดิจิทัล ซึ่งย้ำว่าไทยจะพยายามอย่างเต็มที่ที่จะดึงบริษัทเหล่านี้เข้ามาลงทุนในประเทศไทยให้ได้
ส่วนการพบปะกับภาคธุรกิจในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์นั้น นายกรัฐมนตรี จะพบบริษัท ADI และบริษัท HP ซึ่งบริษัทเหล่านี้มีความสนใจในประเทศไทย เพราะอิเล็กทรอนิกส์เป็นสินค้ายุทธศาสตร์ที่ประเทศทั่วโลกต้องการดึงให้ไปผลิตที่ประเทศตัวเอง โดยเฉพาะสมาร์ทอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งที่ผ่านมา ไทยเป็นการผลิตขั้นกลางน้ำ รัฐบาลจึงมีเป้าหมายชัดเจนที่ต้องการมุ่งยกระดับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์มุ่งไปสู่ต้นน้ำมากขึ้น ด้วยการส่งเสริมโรงงานผลิต การออกแบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งนายกรัฐมนตรี จะได้พบปะพูดคุยและเชิญชวนให้ขยายฐานการผลิตในไทย
"จุดแข็งของไทย ที่ทำให้บริษัทเหล่านี้สนใจ เนื่องจากไทยมีโครงสร้างพื้นฐานที่มีความพร้อมมากที่สุดในภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นไฟฟ้า นิคมอุตสาหกรรม ท่าเรือ สนามบินที่มีคุณภาพ และ Supply chain ของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิสก์ที่มีผู้ผลิตชิ้นส่วนกว่า 2,000 ราย ที่มีทักษะสูง มีประสบการณ์ทำงานกับบริษัทระดับโลกมาหลาย 10 ปี และพร้อมมาอยู่ในซัพพลายของฐานการผลิตใหม่ ๆ ความต้องการพลังงานสะอาด ความเป็นกลางทางคาร์บอน ไทยสามารถทำให้มั่นใจว่ามีพลังงานสะอาด สามารถป้อนให้กับกำลังการผลิต ซึ่งเป็นจุดแข็งสำคัญที่ดึงดูดให้เข้าไปตั้งฐานการผลิตในไทย" นายนฤตม์ กล่าว
อย่างไรก็ดี มองว่า เรื่องการปรับขึ้นค่าแรงของไทย จะไม่ส่งผลกระทบหรือความกังวลแก่บริษัทเหล่านี้ เพราะเน้นใช้เทคโลยีขั้นสูงและนวัตกรรม จึงไม่มีผลต่อการตัดสินใจ เรื่องค่าแรงจึงไม่เป็นปัจจัยสำคัญ แต่เรื่องขีดความสามารถขั้นสูงของแรงงาน จะเป็นปัจจัยสำคัญในการพิจารณามากกว่า
"ไทยจึงเตรียมผลิตบุคลากรที่มีศักยภาพสูงในการพัฒนาโปรแกรมต่างๆ การสร้างแพลตฟอร์มที่เป็นตัวกลางในการจับคู่ความต้องการ และอีกส่วน จะเปิดช่องให้มีการนำเข้าบุคลากรหลายสาขาจากต่างประเทศ เพื่อมาพัฒนาอุตสาหกรรมให้เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีไทยเป็นศูนย์กลาง เช่น การมี One Stop Service อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์จึงมีความสำคัญ และเมื่อธุรกิจเหล่านี้มีการขยายฐานการผลิต จะทำให้เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้น" เลขาธิการบีโอไอ กล่าว
*ตั้งเป้า 4 ปี ดึงต่างชาติยักษ์ใหญ่มากกว่า 100 ราย ลงทุนในไทย
ทั้งนี้ บอร์ดบีโอไอ ตั้งเป้าภายใน 4 ปี จะดึงบริษัทชั้นนำไม่น้อยกว่า 100 บริษัท เข้ามาตั้งในประเทศไทย เพื่อให้เกิดการจ้างงานที่มีคุณค่าสูงกว่า 10,000 ตำแหน่ง ปัจจุบันมีบริษัทชั้นนำที่ใช้ประเทศไทยเป็นฐานมากมาย เช่น Agoda ที่มีพนักงานอยู่ 3,000 คน ในประเทศไทย เป็นต่างชาติ 2,000 คน และคนไทย 1,000 คน นอกจากนี้ ยังมีบริษัท บิชชิน, ฮิตาชิ ก็มีฐานที่ประเทศไทยเช่นกัน
เลขาธิการบีโอไอ ยังกล่าวถึงโครงการแลนด์บริดจ์ด้วยว่า เป็นโครงการใหญ่ที่มีความสำคัญ ซึ่งนายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้กระทรวงคมนาคม และบีโอไอทำงานร่วมกัน เพื่อเชิญชวนนักลงทุนให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย ซึ่งโครงการแลนด์บริดจ์เป็นโครงการที่ใหญ่มาก มีทั้งท่าเรือ การคมนาคมขนส่ง รวมถึงพื้นฐานอุตสาหกรรมบริเวณโดยรอบที่จะมารองรับกลุ่มงานอุตสาหกรรมที่มาลงในพื้นที่นี้
"บีโอไอจะมีส่วนเชิญชวนให้นักลงทุน ทั้งมาลงทุนในการก่อสร้าง โครงสร้างพื้นฐาน เช่น ท่าเรือ ถนน ระบบโลจิสติกส์ ซึ่งการออกโรดโชว์โครงการแลนด์บริดจ์ครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรก" นายนฤตม์ ระบุ