นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ประจำเดือนต.ค. 66 อยู่ที่ระดับ 88.4 ปรับตัวลดลง จาก 90.0 ในเดือนก.ย. ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ต่ำสุดในรอบ 16 เดือน นับตั้งแต่เดือนก.ค. 65
โดยเมื่อพิจารณาองค์ประกอบของค่าดัชนี พบว่า ปรับตัวลดลงเกือบทุกองค์ประกอบ ทั้งดัชนีฯ คำสั่งซื้อโดยรวม ยอดขายโดยรวม ปริมาณการผลิต และผลประกอบการ ยกเว้นความเชื่อมั่นด้านต้นทุนประกอบการที่ปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากภาครัฐออกมาตรการลดค่าไฟฟ้า และราคาน้ำมันดีเซล ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตลดลง
ทั้งนี้ ความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนต.ค. 66 ที่ปรับตัวลดลง มีปัจจัยลบมาจากเศรษฐกิจในประเทศที่ยังฟื้นตัวช้า เนื่องจากกำลังซื้อของผู้บริโภคยังอ่อนแอ ส่งผลให้ความต้องการสินค้าอุตสาหกรรมและภาคการผลิตชะลอตัวลง โดยเฉพาะในหมวดสินค้าแฟชั่น วัสดุก่อสร้าง เครื่องจักรกล เครื่องใช้ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น ขณะที่การปรับขึ้นราคาสินค้ายังทำได้จำกัด ประกอบกับมีการแข่งขันสูงด้านราคา
นอกจากนี้ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่อยู่ในทิศทางขาขึ้น ส่งผ่านไปยังต้นทุนทางการเงิน และทำให้ภาระหนี้ของผู้ประกอบการเพิ่มขึ้น ขณะที่การอ่อนค่าของเงินบาท ทำให้ต้นทุนการนำเข้าสินค้าและราคาวัตถุดิบเพิ่มสูงขึ้น ขณะเดียวกัน ยังมีปัญหาอุทกภัยในหลายพื้นที่ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินกิจการ และกระทบต่อเศรษฐกิจในเชิงพื้นที่
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยบวกจากอุปสงค์จากต่างประเทศที่ทยอยฟื้นตัว สะท้อนจากคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะตลาดส่งออกสำคัญ อาทิ ยุโรป ญี่ปุ่น ตะวันออกกลาง รวมถึงอานิสงส์มาตรการวีซ่าฟรีให้กับนักท่องเที่ยวจีน และคาซัคสถาน ช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว
สำหรับดัชนีฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 94.5 ปรับตัวลดลง จาก 97.3 ในเดือนก.ย. โดยมีความกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจในประเทศ และเศรษฐกิจโลก รวมถึงความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ต่างๆ ทั้งรัสเซีย-ยูเครน และอิสราเอล-กลุ่มฮามาส หากยืดเยื้อและขยายเป็นวงกว้าง อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจการค้าโลก และความผันผวนของราคาพลังงานในตลาดโลก
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการยังกังวลต่อการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น รวมถึงผลกระทบจากปรากฏการณ์เอลนีโญ อาจส่งผลกระทบต่อผลผลิตทางภาคเกษตรและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ ส.อ.ท. มีข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ ดังนี้
1. เร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 66 อาทิ นำโครงการ e-refund มาเริ่มดำเนินการในช่วงเดือนธ.ค. 66 เพื่อส่งเสริมการใช้จ่ายของประชาชน
2. เร่งรัดการกำหนดมาตรการในการพักหนี้ให้กับผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เป็นระยะเวลา 1 ปี ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 26 ก.ย. 66 เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่เป็นหนี้เสียจากโควิด-19 หรือลูกหนี้รหัส 21
3. ขอให้การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ เป็นไปตามกลไกของคณะกรรมการค่าจ้าง หรือไตรภาคี พิจารณาตามความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่