นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง กล่าวยอมรับว่า มีความเป็นห่วงหลังสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ แถลงตัวเลข GDP ไตรมาส 3/66 ที่ออกมาโตเพียง 1.5% อย่างไรก็ตาม คงต้องเร่งผลักดันเศรษฐกิจในไตรมาส 4/66 ให้ขยายตัวดีขึ้น
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ได้เรียกนายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒน์ และนายเฉลิมพล เพ็ญสูตร ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เข้าพบที่ทำเนียบรัฐบาล โดยได้รายงานแนวโน้มเศรษฐกิจไทย ไตรมาส 3/66 ขยายตัวเพียง 1.5% ซึ่งเลขาธิการสภาพัฒน์เอง ก็ตกใจกับตัวเลขที่ออกมา เนื่องจากคาดการณ์ว่าจะออกมาที่ประมาณ 2%
"ยอมรับว่า มีความเป็นห่วงตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมา และเมื่อสอบถามเลขาสภาพัฒน์ ก็ยอมรับว่า ตกใจกับตัวเลขที่ออกมา เพราะจริงๆ คาดการณ์ว่าจะเห็นเลข 2" นายกรัฐมนตรี ระบุ
ส่วนอุปสรรคที่ทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้เพียง 1.5% มาจากเหตุผลหลายอย่าง ทั้งการใช้จ่าย การลงทุน และโรงงานที่ยังมีกำลังการผลิตไม่เต็มศักยภาพ ซึ่งทุกอย่างเลวร้ายกว่าที่คิดไว้มาก
นายเศรษฐา ยอมรับว่าตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 3 ที่ออกมานี้ จะส่งผลกระทบไปยังไตรมาสที่ 4 ด้วย ซึ่งเราพยายามทำให้ตัวเลขดีขึ้น
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวด้วยว่า ในวันนี้ได้เดินทางมาร่วมเวิร์คชอปที่กระทรวงการคลัง เพื่อเตรียมพร้อมในการออกมาตรการแก้หนี้ทั้งระบบ ที่คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในปลายเดือนพ.ย.นี้
"วันนี้ จะมาติดตามเรื่องความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้สินทั้งระบบ เพื่อดูว่าต้องมีกลุ่มไหนมาบ้าง ที่ต้องดูแลเพิ่มเติม" นายกรัฐมนตรี กล่าว
ส่วนการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบนั้น ตน และกระทรวงมหาดไทย จะเข้าไปดำเนินการ ซึ่งได้มอบหมายนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ไปแล้ว ซึ่งนายอนุทิน เข้าใจ และตระหนักดีถึงปัญหานี้ และได้มีการพูดคุยกันในเรื่องนี้ และมีการวางแผนว่าควรจะแถลงร่วมกันในการบริหารหนี้ทั้งหมด หรือจะแยกกันไปแถลง
ส่วนโครงการดิจิทัลวอลเล็ต จะทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจดีขึ้นหรือไม่นั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรื่องนี้ตนพูดมามากแล้ว และทราบว่าขั้นตอนต่อไปจะทำอย่างไร เป็นหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และยืนยันว่าจุดยืนของตนชัดเจน คือ วิกฤต และความจำเป็น และแหล่งเงินกู้ชัดเจนแล้ว คือ เป็นการออกบอนด์