น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รมว.อุตสาหกรรม เผยการลงพื้นที่ของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง เพื่อตรวจเยี่ยมนิคมอุตสาหกรรมสระแก้ว อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว เมื่อวันที่ 25 พ.ย.ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีย้ำว่าสระแก้วเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพในเชิงเศรษฐกิจอย่างมาก สำหรับนิคมอุตสาหกรรมสระแก้ว มีเป้าหมายในการดำเนินงานเพื่อส่งเสริม พัฒนา และสร้างมูลค่าเพิ่มจากการแปรรูปสินค้าเกษตรรวมถึงอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้า และกระจายสินค้าที่ครบวงจรสู่อาเซียน
แต่การดำเนินงานที่ผ่านมา ยังมีปัญหาอุปสรรคในด้านสิทธิประโยชน์ด้านภาษี อัตราค่าเช่าที่ดินระยะยาวที่สูง และข้อจำกัดด้านอุตสาหกรรมเป้าหมายใน EIA ที่กำหนดไม่ให้มีปล่อง ซึ่งนายกรัฐมนตรีรับทราบถึงปัญหาดังกล่าว และมีนโยบายที่จะช่วยแก้ปัญหา เพื่อให้พื้นที่ที่มีศักยภาพนี้ เป็นพื้นที่อุตสาหกรรมที่ทำให้ประชาชนในพื้นที่มีรายได้มากขึ้น ตามนโยบายที่รัฐบาลได้วางไว้
ด้านนายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า นิคมอุตสาหกรรมสระแก้ว ก่อสร้างแล้วเสร็จ เปิดดำเนินการในปี 62 มีพื้นที่ 660 ไร่ แบ่งเป็น พื้นที่สาธารณูปโภค พื้นที่สีเขียว 64 ไร่ มีพื้นที่ขายเช่า 433 ไร่ สามารถขายได้ 26 ไร่ มีผู้ประกอบการเข้ามาลงทุนแล้ว 4 ราย ได้แก่ ผู้ประกอบการนำเข้า-ส่งออกเสื้อผ้า 3 ราย และอุตสาหกรรมทำเบาะรถชิ้นส่วนยานยนต์ 1 ราย ส่วนที่ยังไม่แจ้งประกอบกิจการอีก 2 ราย
การพัฒนานิคมอุตสาหกรรมสระแก้ว มุ่งเน้นกิจการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการนิคมอุตสาหกรรมสระแก้ว (EIA) จึงไม่อนุญาตให้โรงงานที่มีปล่องมาตั้งในนิคมฯ ได้ ส่งผลให้ประเภทอุตสาหกรรมที่สามารถตั้งได้มีจำกัด ซึ่ง กนอ.มีแนวคิดที่จะดำเนินการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการนิคมอุตสาหกรรมสระแก้วต่อไป เพื่อแก้ปัญหาข้อจำกัดดังกล่าว นอกจากนี้ หากสามารถเปิดกว้างสิทธิประโยชน์ทางภาษีให้แก่ทุกประเภทกิจการที่มาลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษสระแก้วได้ จะช่วยดึงดูดการลงทุนจากนักลงทุนได้มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ปัญหาอุปสรรคที่พบคือ ที่ดินราคาค่าเช่าสูง เพราะเป็นที่ของกรมธนารักษ์ ซึ่งเป็นผู้กำหนดค่าเช่า กนอ.จึงขอให้นายกรัฐมนตรีในฐานะ รมว.คลัง ช่วยเจรจากับกรมธนารักษ์ให้พิจารณาลดอัตราค่าเช่า เพื่อจูงใจนักลงทุนในพื้นที่ โดยล่าสุด นายกรัฐมนตรีได้มีการหารือกับกรมธนารักษ์แล้ว คาดว่าจะทราบผลการหารือได้ในเร็วๆ นี้
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ได้ย้ำว่า นิคมอุตสาหกรรมสระแก้ว มีความเหมาะสมที่จะเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ เพราะจะช่วยดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามาลงทุนในพื้นที่เพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังจะส่งผลให้เศรษฐกิจชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชา กลับมาคึกคักขึ้นอีกครั้ง ส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศกลับมาแน่นแฟ้นมากขึ้น
ขณะเดียวกัน พื้นที่ดังกล่าวยังสามารถเป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้า และกระจายสินค้าที่ครบวงจรในกลุ่มประเทศอาเซียนในเขตภูมิภาคลุ่มน้ำโขง CLMVT ได้อีกด้วย เนื่องจากอยู่ใกล้กับด่านศุลกากรอรัญประเทศ (ป่าไร่) และด่านพรมแดนบ้านคลองลึก ที่สามารถเชื่อมต่อไปยังประเทศกัมพูชาได้
"เชื่อว่าหากนิคมอุตสาหกรรมสระแก้ว สามารถแก้ไขปัญหาอุปสรรคต่างๆ ได้สำเร็จ จะสามารถดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามาลงทุนในพื้นที่เพิ่มมากขึ้นได้อย่างแน่นอน ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ และสังคมในพื้นที่อย่างมาก" นายวีริศ กล่าว