นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ผู้แทนการค้าไทย เปิดเผยว่า จากการหารือกับผู้แทนสมาคมผู้ส่งออกและนำเข้าปศุสัตว์และผลิตภัณฑ์จากปศุสัตว์ไทย และตัวแทนบริษัทส่งออกผลไม้ไทย เพื่อร่วมมือผลักดันการส่งออกโคและผลไม้ไทยไปจีน เนื่องจากที่ผ่านมา ไทยติดปัญหาการส่งออกโคมีชีวิตไปยังประเทศจีน ซึ่งต้องให้ผ่านการรับรองจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ว่า "วัวไม่เป็นโรคปากเปื่อยเท้าเปื่อย"
ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้พยายามอย่างต่อเนื่องในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ซึ่งคาดว่าภายในเดือน ธ.ค.นี้ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์ จะเป็นผู้แทนรัฐบาลไทย เดินทางไปยังประเทศจีน เพื่อลงนามในความตกลงระหว่างไทย-จีน ทั้ง 3 ฉบับ ได้แก่ 1) พิธีสารผลิตภัณฑ์จากผึ้ง 2) ต้นสนใบพาย และ 3) ความตกลงในการแก้ไขพิธีสารสัตว์ปีก รวมทั้งต้อนรับขบวนรถไฟขนส่งสินค้าเกษตร ซึ่งจะเดินทางจากไทยไปยังนครเฉิงตู
โดยเมื่อวานนี้ กระทรวงพาณิชย์ได้รายงานการส่งออกเดือน ต.ค.66 มีมูลค่า 23,578.8 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 8% เป็นบวกต่อเนื่อง 3 เดือนติดต่อกัน และสูงสุดในรอบ 13 เดือนนับจากเดือน ก.ย.65 โดยการส่งออกที่ขยายตัว มาจากการเพิ่มขึ้นของสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร 9.3% โดยสินค้าเกษตรเพิ่ม 12.3% และสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรเพิ่ม 5.9% สินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น ข้าว ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง อาหารสุนัขและแมว ไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์ ไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง สิ่งปรุงรสอาหาร ผักกระป๋องและผักแปรรูป
นอกจาก รมว.เกษตรและสหกรณ์ จะได้หารือถึงการแก้ไขปัญหาการส่งออกโค ซึ่งคาดว่าจะมีการส่งโคจากไทยผ่านลาว เพื่อส่งเข้าจีนทางยูนาน สำหรับการส่งผลไม้ไปจีน โดยเฉพาะทุเรียน ซึ่งมีมูลค่าการเงินเป็นจำนวนมาก ผู้ประกอบการต้องการให้รัฐบาลสนับสนุนเรื่องการลดระยะเวลาในการดำเนินการเรื่องเอกสาร รวมถึงส่งเสริมการต่อยอดธุรกิจด้านอาหารในหมวดอื่นๆ เช่น สัตว์ปีก กระเพาะปลา ปลิงทะเล และรังนก ซึ่งตลาดจีนมีความต้องการเป็นอย่างมาก ถ้าหากสามารถทำตลาดกับประเทศจีนได้ จะสร้างมูลค่าการส่งออกด้านอาหารให้กับประเทศไทยมากยิ่งขึ้น
"รัฐบาลมีความมุ่งมั่น สนับสนุน ส่งเสริมผู้ประกอบการส่งออกสินค้าไปยังประเทศต่างๆ เพื่อนำรายได้เข้าสู่ประเทศไทย รวมถึงส่งเสริมให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น พัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกร ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี" นางนฤมล กล่าว