นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า เตรียมเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)ตรึงราคาค่าไฟฟ้า 3.99 บาท/หน่วยสำหรับกลุ่มเปราะบางและตรึงราคาก๊าซหุงต้ม 423 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม
นายพีระพันธุ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับกลุ่มเปราะบางที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน คิดเป็น 75% ของจำนวนผู้ใช้ไฟฟ้า จะต้องขอความเห็นชอบจากครม.เพื่อใช้งบกลางปี 2567 จำนวน 2,000 ล้านบาท เพื่อตรึงค่าไฟฟ้า งวด ม.ค.-เม.ย.2567 ไว้ที่อัตราเดิม 3.99 บาท/หน่วย ซึ่งได้หารือกับทางสำนักงานกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ในเบื้องต้นแล้ว แต่ยังตอบไม่ได้ว่าจะนำเสนอเข้า ครม.ในสัปดาห์หน้าเลยหรือไม่
ขณะที่กลุ่มผู้ใช้ไฟตั้งแต่ 300 หน่วยต่อเดือนขึ้นไป ยังอยู่ระหว่างการหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยในเบื้องต้น ค่าไฟฟ้าที่ลดได้จะเกิดจาก 3 ส่วนหลักๆ ได้แก่ 1. การขยายหนี้ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ออกไปอีก 1 งวด 2. การปรับโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติ และ 3. การกำหนดราคาขายก๊าซธรรมชาติของบมจ.ปตท. (PTT)
ซึ่งแม้ว่าการดำเนินการทั้ง 3 มาตรการ จะทำให้ค่าไฟฟ้าลดลงจากที่ทาง กกพ. เสนอ แต่ทุกฝ่ายก็ยังจะพยายามทางช่องทางให้สามารถลดค่าไฟให้ได้มากขึ้น โดยเฉพาะค่าไฟสำหรับกลุ่มเปราะบาง ซึ่งเป็นกลุ่มที่รัฐบาลให้ความสำคัญเนื่องจากเป็นกลุ่มที่ได้รับความเดือดร้อนมากที่สุด
ทั้งนี้จะเร่งข้อสรุปเพื่อยื่นให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) พิจารณาภายในวันที่ 13 ธ.ค.นี้ แต่ขอยืนยันว่าค่าไฟฟ้าจะไม่ถึง 4.68 บาท/หน่วยแน่นอน ส่วนจะอยู่ที่ 4.10 บาท/หน่วยตามที่นายกรัฐมนตรีได้ปรารภไว้มีความเป็นไปได้ แต่การปรับลดค่าไฟฟ้าต้องมีปัจจัยต่างๆ และมีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่การที่จะไปถึงเป้าต้องมีการปรับเปลี่ยนในหลายปัจจัย ซึ่งจะพยายามทำให้ได้ถึงเป้าหมายที่วางไว้หรือใกล้เคียงที่สุด
"หลังจากที่มีการประชุมในหลายๆ ครั้ง ทำให้เราได้เห็นตัวเลขและข้อมูลต่างๆ ที่จะนำมาประกอบการพิจารณาค่าไฟฟ้าได้มากขึ้น สิ่งที่ผมเพิ่งได้ดำเนินการซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน คือการปรับโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติ เป็นการปรับโครงสร้างที่จะมีความยั่งยืน ไม่ฉาบฉวย และไม่เป็นการสร้างภาระในอนาคต ส่วนมาตรการขยายหนี้ กฟผ. ถือว่าเป็นแนวทางแก้ไขปัญหาระยะสั้น แต่ผมก็มีแผนที่จะเตรียมแก้ปัญหาให้ กฟผ. เพื่อปลดภาระหนี้ด้วย ส่วนการกำหนดราคาขายก๊าซธรรมชาติของ ปตท. ก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่งในการลดราคาค่าไฟได้
ซึ่งทั้ง 3 มาตรการที่จะดำเนินการนี้ แม้จะทำให้ค่าไฟฟ้าลดลงจากที่ทาง กกพ. เสนอ แต่ผมยังต้องการจะลดลงให้มากกว่านี้ ให้ครอบคลุมทุกภาคส่วน ทั้งประชาชนและเอกชน ผมเข้าใจถึงความเดือดร้อนของทุกฝ่าย โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่จะใช้งบกลางเพื่อให้ค่าไฟฟ้าลดลงเหลือ 3.99 บาทต่อหน่วย ขอให้มั่นใจว่า ทุกคนทำงานอย่างเต็มที่ และทำอย่างเร็วที่สุดเพื่อให้ทันเป็นของขวัญปีใหม่ 2567 ให้แก่คนไทยทุกคนครับ" นายพีระพันธุ์ กล่าว
นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) วานนี้ ได้มีมติเห็นชอบให้คงราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ที่ 20.9179 บาทต่อกิโลกรัม (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) เพื่อให้ราคาขายปลีก LPG อยู่ที่ประมาณ 423 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม ต่ออีก 3 เดือน โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.- 31 มี.ค.67 เพื่อเป็นการบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชนและส่งเสริมการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ
นายพีระพันธุ์ ระบุว่า แม้ว่าการตรึงราคาตามมติข้างต้น จะทำให้ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในส่วนของบัญชีก๊าซ LPG ติดลบเพิ่มขึ้น 2,000 ล้านบาท ส่งผลให้ปัจจุบันการติดลบสุทธิอยู่ที่ประมาณ 47,764 ล้านบาท ณ วันที่ 31 มี.ค.67
อย่างไรก็ตาม กระทรวงพลังงานได้ติดตามสถานการณ์ราคาพลังงานในตลาดโลกอย่างใกล้ชิด ซึ่งหากมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ กระทรวงพลังงานจะเร่งบริหารจัดการสถานการณ์พลังงานโดยด่วนเพื่อเป็นการบรรเทาผลกระทบต่อประชาชน และเพื่อให้ประชาชนได้ใช้พลังงานในราคาที่เหมาะสม เป็นธรรม และยั่งยืนต่อไป
นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กลุ่มเปราะบาง คือผู้ใช้ไฟไม่เกิน 300 ยูนิตต่อเดือน ซึ่งตามข้อมูลคิดเป็นประมาณ 70- 80% ของครัวเรือนทั่วประเทศ
"แต่ประชาชนกลุ่มอื่นๆไม่ต้องน้อยใจ เพราะจะได้รับการดูแลให้ไม่เกิน 4.20 บาท รัฐบาลและหน่วยงานเกี่ยวข้องเห็นความสำคัญของการดูแลและลดค่าครองชีพให้กับประชาชน แต่ขอให้ประชาชนเข้าใจว่าการลดภาระค่าใช้จ่ายประจำวัน เช่น ราคาค่าพลังงานนั้น เป็นสิ่งที่รัฐต้องทำอย่างระมัดระวัง ต้องบาลานซ์ระหว่างการลดภาระให้กับประชาชนกับการเพิ่มภาระให้กับการคลังของประเทศด้วย" นางรัดเกล้า กล่าว