นายสนั่น อังอุบลกุล ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยในระหว่างการนำคณะนักธุรกิจไทย กว่า 34 คน จากสาขาธุรกิจที่มีศักยภาพ ได้แก่ วัสดุก่อสร้าง อาหาร อสังหาริมทรัพย์ อัญมณีและเครื่องประดับ พลังงาน การเงิน โรงแรมและบริการ โรงพยาบาลและการบริการด้านสุขภาพ การศึกษา เป็นต้น โดยมีบิ๊กคอร์ปธุรกิจไทยเดินทางร่วม อาทิ นายอบิจิต ดัตต้า กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซีจี อินเตอร์เนชั่นแนล คอร์ปอเรชั่น จำกัด, นายซุยพาง กาญจนพาสน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จำกัด, นางสาวปริม จิตจรุงพร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แอ็ลไลด์ เม็ททัลส์ (ไทยแลนด์) จำกัด, นายศรัณยู ชเนศร์ กรรมการผู้จัดการ โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท, นายทวีลาภ ฤทธาภิรมย์ กรรมการและผู้จัดการ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย เป็นต้น
นายสนั่นกล่าวว่า การเดินทางเยือนกรุงริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย ระหว่าง 9-13 ธันวาคม 2566 ถือเป็นภารกิจที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับภาคธุรกิจไทย เพื่อรุดหน้าสร้างโอกาสบุกตลาดศักยภาพสูงอย่างซาอุฯ โดยการนำคณะมาครั้งนี้ถือเป็นการตอกย้ำการสานต่อความสัมพันธ์ทางธุรกิจระหว่างนักธุรกิจทั้งสองประเทศ
ทั้งนี้ ได้มีการนำคณะภาคธุรกิจไทยเข้าพบหารือกับหอการค้าซาอุดีอาระเบีย (Federation of Saudi Chambers) ซึ่งเป็นหน่วยงานสำคัญในการทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของภาคธุรกิจซาอุฯ และได้ร่วมการประชุมหารือ Thai-Saudi Joint Business Council ซึ่งถือเป็นการหารือกันอย่างเป็นทางการครั้งแรกระหว่างภาคเอกชนของทั้งสองประเทศอีกด้วย
จากการประชุมดังกล่าว นายสนั่นฯ กล่าวว่า ภาคเอกชนสองฝ่ายได้แสดงเจตจำนงมุ่งมั่นที่จะร่วมมือผลักดันการขยายความร่วมมือในการส่งเสริมเศรษฐกิจ โดยเฉพาะด้านการค้าและการท่องเที่ยว ซึ่งมีแนวโน้มขยายตัวสูง และภาคเอกชนสองประเทศเห็นพ้องที่จะกำหนดเป้าหมายร่วมกันเพื่อให้สอดคล้องกับ Saudi Vision 2030 และจะมีการติดตามผลความคืบหน้าของแต่ละด้านเป็นรายปี โดยมีประเด็นสำคัญ ดังนี้
1. ด้านการส่งเสริมการค้า ได้กำหนด 10 สาขาธุรกิจเป้าหมายที่มีศักยภาพร่วมกันเพื่อพุ่งเป้าการขับเคลื่อนให้ชัดเจน ได้แก่ วัสดุก่อสร้างและบริการที่เกี่ยวข้อง อาหารและเครื่องดื่ม ท่องเที่ยวและบริการ พลังงาน เพาะปลูกต้นไม้ อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องครัวและอุปกรณ์ ปุ๋ย ชิ้นส่วนยานยนต์ และอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ โดยเอกชนสองประเทศตั้งเป้าหมายขยายมูลค่าการค้าจากในปี 2566 ที่คาดว่าจะมีมูลค่าการค้ารวม 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ให้เพิ่มขึ้นไป ถึง 12,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2567 (เติบโตขึ้น 20%)
2. ด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยว เอกชนไทยและซาอุฯ ตั้งเป้าหมายในการดึงดูดนักท่องเที่ยวซึ่งกันและกันให้เพิ่มขึ้น โดยปัจจุบัน สถิตินักท่องเที่ยวซาอุฯ เยือนไทยระหว่าง มกราคม-พฤศจิกายน 2566 อยู่ที่ราว 1.6 แสนคน และคาดไว้ว่าตลอดทั้งปี 2566 จะมีนักท่องเที่ยวซาอุฯ ประมาณ 1.8 แสนคน และตั้งเป้าให้เพิ่มเป็น 4 แสนคน ภายในปี 2567 ทั้งนี้ กลุ่มนักท่องเที่ยวชาวซาอุฯ ถือเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูง สามารถสร้างรายได้ให้กับไทยจำนวนมาก ดังนั้น ควรส่งเสริมเพิ่มจำนวนเที่ยวบินตรงระหว่างประเทศไทยกับซาอุดีอาระเบีย มีการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและการแพทย์ พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมและศาสนาจัดกิจกรรมและส่งเสริมการตลาดในซาอุดีอาระเบียอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน ภาคเอกชนซาอุฯ ยังได้ตั้งเป้าดึงนักท่องเที่ยวไทยไปเที่ยวซาอุฯ ให้เพิ่มเป็น 1.5 แสนคนภายในปี 2567 โดยเน้นการท่องเที่ยวเชิงศาสนาและการแสวงบุญ ซึ่งจากการที่ทางการซาอุดีอาระเบียได้มีการใช้อีวีซ่ามาอำนวยความสะดวกให้กับผู้ที่เดินทางจากไทยมายังซาอุดีอาระเบีย ทำให้การเดินทางสะดวกและคล่องตัวมากขึ้น
3. เอกชนไทย-ซาอุฯ เห็นชอบให้มีการแลกเปลี่ยนการเป็นเจ้าภาพจัดประชุมระหว่างกันปีละ 2 ครั้ง เพื่อเป็นกลไกในการร่วมกันติดตามเป้าหมายด้านการค้าและการท่องเที่ยว ทั้งนี้ ภาคเอกชนซาอุฯ ตอบรับเข้าร่วมการประชุม ครั้งที่ 2 ที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม ปี 67 และจะได้เข้าร่วมงาน Thaiflex Anuga Asia 2024 ที่หอการค้าไทยจัดขึ้นต่อเนื่อง และถือเป็นงานแสดงสินค้าด้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย
นอกจากนี้ นายสนั่นและคณะฯ ยังได้เข้าร่วมกิจกรรม Thai Saudi business forum ซึ่งจัดขึ้นเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านโอกาสการค้าและการลงทุน และกิจกรรมสร้างเครือข่ายธุรกิจกับนักธุรกิจซาอุฯ ถือเป็นการพัฒนาต่อยอดธุรกิจระหว่างกัน โดยมี Dr. Sami Al Abedi, Chairman of Saudi Thai Business Council และนักธุรกิจชาวซาอุดีอาระเบียเข้าร่วมกว่า 40 ราย ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวได้รับการสนับสนุนอย่างดียิ่งจากกระทรวงการต่างประเทศ และนายดามพ์ บุญธรรม เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงริยาด ซึ่งเป็นผู้แทนหน่วยงานภาครัฐที่สำคัญของไทยในซาอุดีอาระเบีย ทำหน้าที่ประสานงานเชื่อมความสัมพันธ์และความร่วมมือกับซาอุฯ ในด้านต่างๆ
ขณะที่ เย็นวันที่ 10 ธันวาคม ทางคณะนักธุรกิจไทยยังได้เยี่ยมชมการแสดง Thai Fantasy Show ซึ่งถือเป็นการนำเสนอ Soft power ของประเทศไทยในงาน Riyad Season ที่ถือเป็นเทศกาลความบรรเทิงที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาหรับ ณ Boulevard world (นักแสดงไทย จัดโดย บริษัทอินเด็กส์ ครีเอทีฟ วิลเลจ)
นอกจากนี้ นายสนั่น ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ยังมีไฮไลท์สำคัญ ในวันที่ 13 ธันวาคม 2566 ที่จะนำคณะเข้าร่วมพิธีเปิดงานแสดงสินค้า Thailand Mega Fair 2023 โดยสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ร่วมกับ บริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน) จัดขึ้นระหว่าง วันที่ 13 ? 16 ธันวาคม 2566 ณ ดิ อารีน่า ริยาด (The Arena Riyadh) กรุงริยาด ซาอุดีอาระเบีย ซึ่งถือเป็นงานแสดงสินค้าและบริการของไทยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในซาอุดีอาระเบีย โดยได้รับเกียรติจาก ดร.ปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ จะเดินทางมาเข้าร่วมและเป็นประธานฝั่งไทยในการเปิดงานฯ โดยงานดังกล่าวไม่เพียงแต่เป็นงานแสดงสินค้าไทยเท่านั้น แต่จะถือเป็นการรวบรวมนวัตกรรม ผลิตภัณฑ์และบริการของไทยที่มีคุณภาพระดับพรีเมี่ยม มาจัดแสดงอวดสายตาชาวซาอุฯ ครอบคลุม 9 สาขาธุรกิจที่โดดเด่นของไทย ได้แก่ วัสดุก่อสร้างและเฟอร์นิเจอร์ อาหารและเครื่องดื่ม สุขภาพและการแพทย์ ความงาม ท่องเที่ยว พลังงาน รถยนต์และชิ้นส่วน ต้นไม้และการเกษตร สินค้าไลฟ์สไตล์ เป็นต้น