สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า รายงานการติดตามสภาวะเศรษฐกิจไทยฉบับเดือนธันวาคม 2566 ของธนาคารโลกระบุว่า ไทยประสบความสูญเสียทางเศรษฐกิจถึง 6% ของ GDP จากผลกระทบของวิกฤตฝุ่นควัน PM2.5 ต่อสุขภาพของประชาชน พร้อมให้คำแนะนำว่า ไทยควรใช้มาตรการเก็บภาษีคาร์บอน หรือการซื้อขายคาร์บอนเครดิตเป็นเครื่องมือแก้ไขปัญหาดังกล่าว
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการ สนค. เปิดเผยว่า ภาคบริการ เป็นภาคธุรกิจที่มีความสำคัญมากต่อเศรษฐกิจของไทย โดยในปี 2565 ภาคบริการมีสัดส่วนสูงถึง 58.71% ของ GDP ไทย คิดเป็นมูลค่ากว่า 10.2 ล้านล้านบาท มีผู้ประกอบการมากถึงกว่า 2.6 ล้านราย มีการจ้างงานกว่า 12.8 ล้านคน และครอบคลุมธุรกิจหมวดใหญ่ ๆ ถึง 15 สาขา เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับชีวิตประจำวันของประชาชน อาทิ กิจกรรมการค้าส่ง-ค้าปลีก ที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางจัดหาสินค้าจากภาคการผลิตทางเกษตร และอุตสาหกรรมสู่ผู้บริโภค กิจกรรมการขนส่งและจัดเก็บสินค้า หรือธุรกิจโลจิสติกส์ที่ทำหน้าที่กระจายสินค้าไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ตามความต้องการ รวมถึงการขนส่งผู้โดยสาร ที่เชื่อมโยงวิถีชีวิตของผู้คนในปัจจุบัน เป็นต้น
เมื่อพิจารณาถึงธุรกิจบริการที่เชื่อมโยงกับปัญหาฝุ่นควัน PM2.5 อาทิ สาขาการขนส่ง และสถานที่เก็บสินค้า ซึ่งสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ (GDP) ถึงกว่า 8.19 แสนล้านบาท มีผู้ประกอบการกว่า 4.02 หมื่นราย มีการจ้างงานกว่า 6.49 แสนคน ครอบคลุมทั้งการขนส่งสินค้า บริการที่เก็บสินค้า และการจัดการที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงการขนส่งผู้โดยสาร ซึ่งสาขาดังกล่าว เป็นหนึ่งในภาคธุรกิจที่ปล่อยคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศมากที่สุด และยังเป็นเป็นผู้ปลดปล่อยฝุ่นควัน PM2.5 โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ที่อากาศปิด เช่น กรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งมีการจราจรหนาแน่น
อย่างไรก็ดี ภาคการขนส่ง ยังคงเป็นภาคธุรกิจที่มีความสำคัญในการนำส่งสินค้า ทั้งช่องทางดั้งเดิมจากแหล่งผลิตไปยังร้านค้าส่ง-ค้าปลีก และช่องทางใหม่ ๆ เช่น จากร้านค้าออนไลน์ไปยังผู้บริโภคโดยตรง ซึ่งเป็นกลไกรองรับพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงธุรกิจบริการอื่น ๆ เช่น บริการส่งอาหาร อีกสาขาบริการที่สำคัญ คือ สาขาการขายส่ง การขายปลีก การซ่อมยานยนต์และจักรยานยนต์ ซึ่งสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจถึงกว่า 2.68 ล้านล้านบาท มีผู้ประกอบการกว่า 1.34 ล้านราย มีการจ้างงานกว่า 5.46 ล้านคน เป็นสาขาบริการสำคัญที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงสุดของไทย ทำหน้าที่สำคัญในการจัดหาสินค้าจากภาคการผลิตทางเกษตร และอุตสาหกรรมสู่ผู้บริโภค ดังนั้น สาขาดังกล่าว จึงเป็นธุรกิจบริการที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานที่ปล่อยฝุ่นควัน PM2.5
ผู้อำนวยการ สนค. กล่าวว่า ทั้งภาครัฐและเอกชนไทย ควรหันมาให้ความสำคัญกับการปรับเปลี่ยนภาคบริการไปสู่ธุรกิจบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยเน้นที่การใช้มาตรการเชิงส่งเสริมสนับสนุน เพื่อดึงดูดให้ผู้ประกอบการและผู้บริโภค สามารถเลือกใช้สินค้าและบริการที่ปลดปล่อยฝุ่นควันลดลง โดยให้กระทบต่อภาระต้นทุนและค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด อาทิ
1. สนับสนุนธุรกิจในสาขากิจกรรมทางวิชาชีพ วิทยาศาสตร์ และกิจกรรมทางวิชาการ ให้เกิดการวิจัยและพัฒนาให้ได้เทคโนโลยีทดแทนการเผาวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรในที่โล่ง ซึ่งมีประสิทธิภาพและทำให้เกิดผลกำไรสูงขึ้น โดยลดความซับซ้อนยุ่งยากในการปฏิบัติและต้นทุนลง เพื่อให้เกษตรกรทั้งในไทยและประเทศเพื่อนบ้านนำไปใช้ได้อย่างแท้จริงและแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน ตลอดจนเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
2. สนับสนุนธุรกิจในสาขาการขนส่ง และสถานที่เก็บสินค้า ทั้งการขนส่งสินค้าและการขนส่งผู้โดยสาร ให้ใช้ยานยนต์พลังงานทางเลือกที่สะอาดและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น เช่น พลังงานไฟฟ้า และพลังงานไฮโดรเจน ตลอดจนเร่งผลักดันให้เกิดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับการใช้งานยานยนต์พลังงานทางเลือกเหล่านั้น
3. สนับสนุนธุรกิจในสาขาการขายส่ง การขายปลีก การซ่อมยานยนต์และจักรยานยนต์ให้มีระบบติดตามและตรวจสอบย้อนกลับที่ง่ายและมีประสิทธิภาพให้ผู้ประกอบการตลอดห่วงโซ่อุปทาน เพื่อให้ผู้ประกอบการและผู้บริโภคมีข้อมูลในการเลือกซื้อสินค้าและบริการที่ปลดปล่อยฝุ่นควัน ตลอดจนคาร์บอนในระดับต่ำได้ รวมถึงยังเป็นข้อมูลที่จะมีความสำคัญยิ่งขึ้นในการค้าระหว่างประเทศ
4. สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลของภาคธุรกิจ ซึ่งจะช่วยให้สามารถเก็บข้อมูลและบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดอัตราการปลดปล่อยฝุ่นควัน PM2.5 และคาร์บอน
5. สนับสนุนด้านเงินทุนเพื่อให้ผู้ประกอบการใช้ในการปรับเปลี่ยนที่จำเป็นเพื่อให้ธุรกิจของตนสามารถลดการปลดปล่อยฝุ่นควัน PM2.5 และคาร์บอนได้
6. สนับสนุนให้เกิดการสร้างเครือข่ายผู้ประกอบการบริการและด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลและข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ซึ่งกันและกัน รวมถึงสามารถเป็นกระบอกเสียงสะท้อนความต้องการมายังภาครัฐได้อย่างมีพลัง
7. สนับสนุนหน่วยงานภาครัฐให้พิจารณาการจัดซื้อจัดจ้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมยิ่งขึ้น เช่น การจ้างบริการรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ตลอดจนพิจารณาห่วงโซ่อุปทานของสินค้าและบริการที่หน่วยงานใช้ ให้ลดอัตราการปลดปล่อยฝุ่นควัน PM2.5 และคาร์บอน
8. ดำเนินนโยบายร่วมกับประเทศเพื่อนบ้าน ในการร่วมกันแก้ไขปัญหาฝุ่นควันข้ามพรมแดน
"ธุรกิจบริการ มีบทบาทสำคัญในการแก้ไขวิกฤตฝุ่นควัน ซึ่งภาคบริการ รวมถึงภาคธุรกิจอื่น ๆ ล้วนแต่สามารถมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาได้ ผ่านการบริหารจัดการการผลิต และห่วงโซ่อุปทานของตน ทั้งนี้ ภาคธุรกิจและผู้บริโภค อาจจำเป็นจะต้องปรับตัวและเปลี่ยนแปลงแนวทางการดำเนินงาน และการดำเนินชีวิต รวมถึงอาจมีต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องบางส่วนสูงขึ้นกว่าปัจจุบันบ้าง แต่จะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าต่อสุขภาพ และอนาคต ซึ่งภาครัฐ ก็เป็นอีกหนึ่งผู้มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการแก้ไขวิกฤตนี้ ผ่านการสนับสนุนภาคเอกชนและประชาชนในการปรับตัวอย่างเหมาะสม" นายพูนพงษ์ ระบุ