ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ประเมินความต้องการใช้แบตเตอรี่ของไทยจะมีไม่น้อยกว่า 36 GWh ภายในปี 2573 จากการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าและการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนตามนโยบาย 30@30 และแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าแห่งชาติ (PDP 2018 Rev.1) ที่มีแผนการนำแบตเตอรี่ (BESS) มาใช้ โดยความต้องการขั้นต่ำของแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าตามนโยบาย 30@30 รวมกันอาจมีไม่น้อยกว่า 34GWh และภาคการผลิตไฟฟ้าจาก Solar+BESS อีกไม่น้อยกว่า 2.76 GWh ซึ่งคิดเป็นมูลค่าตลาดไม่น้อยกว่า 3,051 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ขณะที่อุตสาหกรรมแบตเตอรี่ทั่วโลกยังมีแนวโน้มเติบโตดีต่อเนื่อง โดยภาครัฐมีบทบาทสำคัญในการผลักดัน ซึ่งหลายประเทศมีนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ โดยมีนโยบายที่คล้ายคลึงกัน 3 ประการ คือ 1.นโยบายผลักดันให้เกิดความต้องการใหม่ (New demand-driven) 2.นโยบายส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมและการใช้งานผ่านกฎหมายและข้อบังคับ (Regulation-driven) และ 3.การส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีจากงบประมาณนโยบาย (Technical-driven)
โดยการแข่งขันด้านเทคโนโลยีและต้นทุนที่ชะลอลงจะส่งผลให้ราคาแบตเตอรี่ลดลงต่อเนื่อง ต้นทุนจากสินแร่สำคัญอย่างลิเธียมและองค์ประกอบอื่นๆ ของแบตเตอรี่มีแนวโน้มลดลงเข้าสู่กรอบเดิมตามสภาวะปกติจากสภาวะตลาดที่เริ่มคลายตัวและอุปทานส่วนเกิน ผนวกกับการพัฒนาแบตเตอรี่ให้มี Energy density (Wh/Kg) สูงขึ้น และต้นทุนการดำเนินการ (Opex) ที่ลดลง ส่งผลให้ราคาแบตเตอรี่มีแนวโน้มลดลง ทั้งนี้คาดว่าราคาแบตเตอรี่จะลดลงต่อเนื่อง โดยในปี 2567 จะลดลงราว 21% มาอยู่ที่ 121 ดอลลาร์สหรัฐ/kWh และจะลดลงต่อเนื่องโดยเฉลี่ยที่ราว 12% ต่อปี ในช่วงปี 2567-2570 มาอยู่ที่ 83 ดอลลาร์สหรัฐ/kWh
ราคาแบตเตอรี่ที่ลดลงในอนาคตจะยิ่งหนุนความต้องการไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนอย่างมีนัยสำคัญ และทำให้การลงทุนในโครงการผลิตไฟฟ้าจาก Solar+BESS มีความน่าสนใจมากขึ้น โดยประเมิน IRR อยู่ที่ 11-15%
SCB EIC ได้ประเมินความคุ้มค่าในการลงทุนโครงการผลิตไฟฟ้า (Utility scale) สำหรับผลิตไฟฟ้าจาก Solar+BESS ตาม PDP 2018 Rev.1 ของไทย ซึ่งหากเริ่มดำเนินโครงการในปี 2567 โดยลงทุนในปี 2565-2566 จะมี IRR อยู่ที่ 11-15% ที่ D/E: 2.55 อีกทั้ง IRR มีแนวโน้มดีขึ้นสอดคล้องกับต้นทุน Solar PV และราคาแบตเตอรี่ที่ลดลง
ความเหมาะสมในการติดตั้ง Solar rooftop+แบตเตอรี่สำหรับภาคครัวเรือนและธุรกิจขนาดเล็กยังจำกัดอยู่ในกลุ่มที่มีค่าไฟสูง เนื่องจากต้นทุนของแบตเตอรี่ในปัจจุบันยังค่อนข้างสูง ทำให้กลุ่มที่เหมาะสมที่จะติดตั้ง Solar+BESS ยังจำกัดอยู่ในกลุ่มที่มีการใช้ไฟฟ้าสูงมากกว่า 20,000 บาทต่อเดือน เช่น บ้านขนาดใหญ่ ร้านอาหารที่เปิดถึงช่วงเวลากลางคืน (20.00-22.00 น.) อพาร์ตเมนต์หรือคอนโดมิเนียมที่มีการเปิดไฟสำหรับส่วนกลาง ซึ่งหากพิจารณาจากจุดคุ้มทุนในการติดตั้ง Solar rooftop+BESS ควรจะน้อยกว่า 10 ปี หากต้องการกักเก็บและจ่ายไฟฟ้าได้ 2 ชั่วโมงหลังจากหมดไฟฟ้าจาก solar pv แล้ว จะต้องมีค่าไฟฟ้าไม่น้อยกว่า 21,100 บาทต่อเดือน และกำลังการติดตั้งสูงที่ 10 kWp และหากต้องการกักเก็บและจ่ายไฟฟ้าได้ถึง 4 ชั่วโมง จะต้องมีค่าไฟฟ้าไม่น้อยกว่า 61,000 บาทต่อเดือน และกำลังการติดตั้งสูงที่ 20 kWp
ดังนั้น ถึงแม้ตลาดแบตเตอรี่ยังมีโอกาสทางธุรกิจได้อีกมากแต่ยังมีความท้าทายที่ต้องติดตาม 4 ประการ ได้แก่
1.เทคโนโลยีใหม่ที่พร้อมเข้ามาเปลี่ยนเกมการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น เช่น การใช้ All solid state battery และการปรับเปลี่ยนขั้นตอนการแพ็กแบตเตอรี่
2.ต้นทุนการผลิตที่พึ่งพิงสินแร่ราคาสูง แม้ราคาจะมีแนวโน้มลดลง แต่ยังคงมีปัจจัยภายนอกที่อาจกระทบให้ราคามีความผันผวน เช่น ความขัดแย้งระหว่างประเทศ และมาตรการกีดกันทางการค้า
3.ราคาแบตเตอรี่อาจลดลงไม่มากพอที่จะจูงใจในการติดตั้ง Solar+BESS ในกลุ่มโรงไฟฟ้า รวมถึงภาคครัวเรือนและธุรกิจขนาดเล็ก
4.การรีไซเคิลแบตเตอรี่ที่หมดสภาพหรือครบอายุการใช้งาน (Retired battery) แล้ว ซึ่งจะเป็นประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมสำคัญที่จะกดดันการผลิตแบตเตอรี่ในอนาคต และเป็นประการสำคัญทั้งหมดที่ผู้ประกอบการไทยรวมถึงภาครัฐต้องเร่งสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาต่อไป