นายบัญชา สุขแก้ว รองอธิบดีกรมประมง เผยความคืบหน้าเพิ่มวันทำการประมงให้กับเรือประมงผ่านระบบการออกใบอนุญาตทำการประมง (e-License) ของเรือแต่ละลำจนเสร็จเรียบร้อยเมื่อช่วงกลางดึกคืนวันที่ 29 ธ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งระบบจะลิงค์ข้อมูลวันทำการประมงที่ได้รับการจัดสรรเพิ่มเติมกับระบบการแจ้งเข้าแจ้งออกเรือประมง (FI) ทำให้ชาวประมงที่วันทำการประมงไม่เพียงพอสามารถออกไปทำการประมงได้ทันทีตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.67 จนสิ้นสุดการประมงในวันที่ 31 มี.ค.67
"ถือเป็นการช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องชาวประมง และนำทรัพยากรสัตว์น้ำมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดเกิดความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ เพราะสามารถสร้างเม็ดเงินให้กับประเทศได้กว่า 1,000 ล้านบาท หลังจากนั้นจะมีการจัดสรรวันการประมงรอบใหม่ในวันที่ 1 เม.ย.67 เป็นต้นไป" นายบัญชา กล่าว
โดยที่ประชุมคณะกรรมการแก้ไขปัญหาประมงทะเล ซึ่งมี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์ เป็นประธาน มีมติเห็นชอบให้เพิ่มวันทำการประมงให้กับเรือประมงที่ได้รับผลกระทบจากจำนวนวันทำการประมงไม่เพียงพอ จำนวน 1,200 ลำ โดยจัดสรรวันทำการประมงเพิ่มเติมสำหรับเรือประมงแต่ละลำขึ้นอยู่กับจำนวนวันทำการประมงที่เหลืออยู่ของเรือประมงลำ ดังนี้
1.ฝั่งอ่าวไทย
1.1 กลุ่มเครื่องมือทำการประมงสัตว์น้ำหน้าดิน จัดสรรวันทำการประมงเพิ่ม จำนวน 50 วัน
1.2 กลุ่มเครื่องมือทำการประมงปลาผิวน้ำ จัดสรรวันทำการประมงเพิ่ม จำนวน 50 วัน
1.3 กลุ่มเครื่องมือทำการประมงปลากะตัก จัดสรรวันทำการประมงเพิ่ม จำนวน 30 วัน
2.ฝั่งทะเลอันดามัน
2.1 กลุ่มเครื่องมือทำการประมงสัตว์น้ำหน้าดิน จัดสรรวันทำการประมงเพิ่ม จำนวน 20 วัน
2.2 กลุ่มเครื่องมือทำการประมงปลาผิวน้ำ จัดสรรวันทำการประมงเพิ่ม จำนวน 30 วัน
2.3 กลุ่มเครื่องมือทำการประมงปลากะตัก จัดสรรวันทำการประมงเพิ่ม จำนวน 50 วัน
รองอธิบดีกรมประมง กล่าวว่า การจัดสรรการเพิ่มวันทำการประมงในครั้งนี้ดำเนินการภายใต้หลักและข้อมูลทางวิชาการ รวมทั้งได้มีการหารือร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน ทั้งชาวประมง นักวิชาการ ฯลฯ โดยกรมประมงมีความมุ่งมั่น ตั้งใจ จริงใจในการดำเนินการแก้ไขปัญหาภาคการประมงไทย และไม่ได้นิ่งนอนใจต่อปัญหาความเดือดร้อนของชาวประมง เพื่อให้เกิดความยั่งยืนของทรัพยากรประมงควบคู่ไปกับวิถีความเป็นอยู่และอาชีพของชาวประมงที่มั่นคง ซึ่งเป็นฟันเฟืองตัวหนึ่งที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยได้ตามนโยบายของ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ซึ่งขอขอบคุณชาวประมงที่ให้ความร่วมมือกับภาครัฐมาโดยตลอด และมองเห็นถึงความสำคัญในการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำเพื่อให้เกิดความยั่งยืน