นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า จากสถานการณ์เงินเฟ้อที่ติดลบต่อเนื่องในปัจจุบัน ทำให้มีกระแสพูดถึงการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งมุมมองวิชาการถือเป็นความพยายามของ ธปท.ในการสกัดเงินเฟ้อที่สูง ตลอดจนรักษาเสถียรภาพของค่าเงินบาทที่อ่อนค่ามากในช่วงปีที่แล้ว รวมทั้งเป็นการลดช่องว่างของอัตราดอกเบี้ยระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ไม่ให้ห่างกันมากจนเกินไป ซึ่งต้องยอมรับว่าส่งผลกระทบโดยตรงกับต้นทุนกู้ยืมของผู้ประกอบการ และประชาชน
ทั้งนี้ หลายฝ่ายยังคงติดตามสัญญาณของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงใด และหวังว่า ธปท. จะไม่มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยแล้ว ส่วนกรณีที่ Fed มีการปรับลดดอกเบี้ยลงหลังจากนี้ ธปท. คงจะมีการปรับลดดอกเบี้ยให้เหมาะสมกับสถานการณ์ของเศรษฐกิจไทยต่อไป
ด้านตัวเลขเงินเฟ้อทั่วไปที่ติดลบต่อเนื่อง 3 เดือน น่าจะมาจากการปรับลดเชิงเทคนิค ตามนโยบายการลดภาระค่าของชีพด้านพลังงานของภาครัฐ ทั้งค่ากระแสไฟฟ้า และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ประกอบกับราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวลดลง แต่ในส่วนของอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังมีการปรับขึ้นเล็กน้อย แสดงให้เห็นว่าไทยยังคงพอมีกำลังซื้ออยู่บ้าง
โดยเงินเฟ้อทั่วไปปี 2566 อยู่ที่ 1.23% ขณะที่นโยบายการคลังที่รัฐบาลกำลังดำเนินการทั้ง การยกเว้นวีซ่าเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว, โครงการ Easy E-Receipt, รวมถึงการผลักดันโครงการ Digital Wallet จะมีส่วนช่วยกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปปี 67 น่าจะเพิ่มขึ้นถึงระดับ 2.0-2.5% ภายใต้กรอบเป้าหมายของกระทรวงการคลัง และ ธปท. ที่ 1-3%
"ในมุมของหอการค้าฯ ยังเห็นว่า หากธนาคารสามารถปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง จะช่วยลดภาระประชาชน ลดต้นทุนผู้ประกอบการ และส่งเสริมให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้สะดวก จะเป็นส่วนสำคัญในการเร่งให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้รวดเร็วยิ่งขึ้น"
พร้อมระบุว่า ในที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) วันพรุ่งนี้ (10 ม.ค.) จะมีการหารือในประเด็นดังกล่าวร่วมกันต่อไป
นายสนั่น หวังว่าเศรษฐกิจไทยใน Q1/67 จะสามารถเติบโตได้อย่างน้อย 3% เมื่อเทียบกับ Q1/66 ที่อยู่ในระดับ 2.7% ส่วน Q2/67 เป็นช่วงเทศกาลขึ้นปีใหม่ไทย และกิจกรรมสงกรานต์ ที่พึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกโลกทางภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้นั้น รัฐบาลพร้อมด้วยหอการค้าไทย จะมีการยกระดับ Event สงกรานต์ให้เป็น Festival ระดับโลก รวมถึงกิจกรรมด้านการส่งเสริม Soft power ไทยตลอดทั้งปี ซึ่งจะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้ไปสู่เป้าหมาย 35 ล้านคนต่อไป
ขณะที่นโยบายการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านโครงการ Easy E-Receipt จะช่วยให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบ 4-6 หมื่นล้านบาท และหากโครงการ Digital Wallet สามารถดำเนินการได้จริงตามแผน คาดว่าจะมีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้อีก 1.0 - 1.5%
ส่วนการลงทุนจากต่างประเทศ คาดว่าในปีนี้จะมีเข้ามาเพิ่มเป็นจำนวนมาก จากการทำงานเชิงรุกของรัฐบาลในการดึงดูดการลงทุนตรงจากต่างประเทศทั้งด้าน EV พลังงานสะอาด ตลอดจนอุตสาหกรรมที่ใช้นวัตกรรมขั้นสูง โดยการเร่งเจรจา FTA กับหลายประเทศที่ยังอยู่ในกระบวนการหากแล้วเสร็จ จะยิ่งสนับสนุนให้ไทยเป็นศูนย์กลางการลงทุนในภูมิภาคในอนาคต
"หอการค้าไทย และมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย จึงประเมินเศรษฐกิจไทยปี 2567 ว่า GDP น่าจะขยายตัวได้ 3.2% (ยังไม่รวมผลของโครงการดิจิทัลวอลเล็ต) การส่งออกพลิกกลับมาโตได้ที่ 2 - 3% อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเพิ่มสูงขึ้นอยู่ในระดับ 2% และหนี้ครัวเรือนลดลงมาอยู่ที่ 87.8% ต่อ GDP" นายสนั่น ระบุ