![เปิดแนวโน้ม 22 กลุ่มอุตสาหกรรมปี 67 ยังโตต่อเนื่อง เอกชนกังวลปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ยืดเยื้อ](/img/files/20240117/iqeaa123c52f4401548929adcc574e2b88-0.jpg)
นายมนตรี มหาพฤกษ์พงศ์ รองประธาน ส.อ.ท. กล่าวว่า ผลสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์และแนวโน้มอุตสาหกรรมในปี 67 พบว่า อุตสาหกรรมส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มที่มีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นจากปีที่ผ่านมา
- กลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะขยายตัวดีขึ้นมีทั้งหมด 22 กลุ่ม ประกอบด้วย การจัดการเพื่อสิ่งแวดล้อม, ชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์, ปูนซีเมนต์, พลาสติก, เยื่อและกระดาษ, อัญมณีฯ, การพิมพ์และบรรจุภัณฑ์, ดิจิทัล, ผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์, ยา, รองเท้า, อาหารและเครื่องดื่ม, เครื่องปรับอากาศฯ, ต่อเรือซ่อมเรือ, ผู้ผลิตไฟฟ้า, ยาง, โรงกลั่นน้ำมันฯ, เครื่องสำอาง, เทคโนโลยีชีวภาพ, พลังงานหมุนเวียน, ยานยนต์ และโรงเลื่อยและโรงอบไม้
- กลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะทรงตัวมีทั้งหมด 11 กลุ่ม ประกอบด้วย เคมี, น้ำมันปาล์ม, หล่อโลหะ, เครื่องจักรเกษตร, ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร, เหล็ก, เครื่องจักรกลฯ, ไม้อัด ไม้บาง, อลูมิเนียม, เครื่องนุ่มห่ม และ สำรวจและผลิตปิโตรเลียม
![เปิดแนวโน้ม 22 กลุ่มอุตสาหกรรมปี 67 ยังโตต่อเนื่อง เอกชนกังวลปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ยืดเยื้อ](/img/files/20240117/iqeaa123c52f4401548929adcc574e2b88.jpg)
กลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะหดตัวลงมีทั้งหมด 13 กลุ่ม ประกอบด้วย ก๊าซ, ปิโตรเคมี, หนังและผลิตภัณฑ์หนัง, แกรนิตและหินอ่อน, เฟอร์นิเจอร์, หลังคาและอุปกรณ์, แก้วและกระจก, ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์, หัตถกรรมสร้างสรรค์, เซรามิก, สมุนไพร, น้ำตาล และสิ่งทอ
ขณะที่แนวโน้มอุตสาหกรรม 5 ภูมิภาคนั้น อุตสาหกรรมในภาคตะวันออกคาดว่าจะขยายตัวได้ ขณะที่อุตสาหกรรมในภาคเหนือ ภาคตะวันออก เฉียงเหนือ และภาคใต้ คาดว่าจะทรงตัว ส่วนอุตสาหกรรมในภาคกลางคาดว่าจะหดตัวลง
โดยปัจจัยที่ส่งผลดีต่ออุตสาหกรรม ได้แก่
- อานิสงส์จากความต้องการสินค้าและบริการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยว
- เป้าหมายการบรรลุความตกลงการค้าเสรี (FTA) ได้ภายในปี 2567 เช่น ไทย-ศรีลังกา, ไทย-สมาคมการค้าเสรียุโรป (EFTA) และไทย-สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) รวมถึงการเร่งเจรจา FTA ไทย-อียู (EU) และไทย-กลุ่มประเทศความร่วมมืออ่าวอาหรับ (GCC) ให้สำเร็จโดยเร็ว จะช่วยเพิ่มแต้มต่อให้กับผู้ประกอบการไทยอย่างมาก
- ความผันผวนของค่าเงินบาทที่อยู่ในระดับต่ำ และมีอัตราเหมาะสมทั้งผู้ส่งออก/ผู้นำเข้า
- แนวโน้มคำสั่งซื้อสินค้าจากประเทศคู่ค้าสำคัญ เช่น สหรัฐฯ ยุโรป จีน เพิ่มขึ้น รวมถึงตลาดที่มีศักยภาพ เช่น กลุ่มอ่าวอาหรับ GCC
- ผู้ประกอบการได้ลงทุนใช้พลังงานหมุนเวียนมากขึ้น เนื่องจากมีราคาถูกลง โดยเฉพาะโซลาร์เซลล์ เพื่อลดต้นทุนด้านค่าไฟฟ้า
- ทิศทางราคาวัตถุดิบปรับตัวลดลงจากปัญหาขาดแคลนที่คลี่คลาย และมีการเข้าถึงแหล่งวัตถุดิบใหม่ๆ ทดแทน
ส่วนปัจจัยที่ส่งผลเสียต่ออุตสาหกรรม ได้แก่
- ทิศทางค่าไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจากต้นทุนการผลิตไฟฟ้าที่อยู่ในระดับสูงและปัญหาหนี้ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT)
- ปัญหาความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์และสงครามในรัสเซีย-ยูเครน, อิสราเอล-กลุ่มฮามาส ยืดเยื้อกระทบต่อราคาพลังงานโลกเพิ่มขึ้น
- การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำในอัตราที่สูงเกินไป ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิต
- ต้นทุนทางการเงินยังอยู่ในระดับสูงจากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่เพิ่มขึ้น และความเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อ
- ผลกระทบจากสินค้าที่ไม่มีคุณภาพเข้ามาตีตลาดลูกค้าในกลุ่มอาเซียน กระทบต่อการค้าชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน
- ปัญหามาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (NTM/NTB) เช่น มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป (CBAM)
นายเกรียงไกร เธียรนุกูล ประธาน ส.อ.ท.กล่าวว่า แนวโน้มที่จะขยายตัวดีขึ้นมาจากผลของฐานต่ำ เนื่องจากปีที่ผ่านมาในหลายอุตสาหกรรมโดยเฉพาะการผลิตเพื่อส่งออกเผชิญปัญหาเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าที่ชะลอตัว ซึ่งในปี 2567 แรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยมีโอกาสเติบโตได้มาจากปัจจัยสนับสนุนทั้งภาคการส่งออกสินค้าที่จะกลับมาขยายตัวได้ การลงทุนภาคเอกชนที่จะฟื้นตัวตาม ภาคการท่องเที่ยวที่จะขยายตัวได้ต่อเนื่องผ่านมาตรการฟรีวีซ่า และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ การดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ รวมทั้งการใช้สิทธิประโยชน์จาก FTA ใหม่ๆ จากเป้าหมายการบรรลุ FTA ได้ภายในปี 2567 ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการส่งออกสินค้าของไทยได้เพิ่มขึ้น
แต่อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังมีความผันผวนจากทั้งปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) และสงครามที่เกิดขึ้น รวมถึงสถานการณ์การเมืองโลก โดยเฉพาะการเลือกตั้งในประเทศสำคัญที่จะจัดขึ้นในปีนี้ อีกทั้งสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน ที่ยังยืดเยื้อและอาจรุนแรงขึ้น และยังมีผลกระทบจากปัญหาการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (Climate Change) ซึ่งทำให้มีความเสี่ยงเกี่ยวกับภัยธรรมชาติมากขึ้น ความท้าทายเหล่านี้ ภาคอุตสาหกรรมไทยต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด
ขณะที่ ส.อ.ท.ยังคงให้ความสำคัญกับการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศเป็นเป้าหมายสำคัญภายใต้ข้อเสนอ ส.อ.ท. ทั้งการปรับปรุงกฎหมายเพื่ออำนวยความสะดวกในการดำเนินธุรกิจ การเร่งเจรจา FTA เช่น ไทย-EU และไทย-GCC การส่งเสริมการลงทุนและการยกระดับอุตสาหกรรมเป้าหมาย การส่งเสริมและยกระดับผู้ประกอบการ SME รวมถึงการมุ่งสู่เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDG) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) เพื่อเสริมสร้างรากฐานในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้าต่อไป
"ปีนี้กังวลเรื่องปัญหาภูมิรัฐศาสตร์มากที่สุด เพราะทำท่าจะยืดเยื้อ และขยายวงกว้างออกไปจากเดิม ซึ่งจะส่งผลกระทบตามมา ทั้งเรื่องโลจิสติกส์ ซัพพลายเชนจ์ ประเทศที่ผลิตสินค้าแล้วขายไม่ได้ก็จะเอามาทุ่มตลาดส่งผลกระทบต่อสินค้าที่ผลิตในประเทศ" นายเกรียงไกร กล่าว
นายเกรียงไกร กล่าวว่า ส.อ.ท.สนับสนุนให้รัฐบาลเร่งรัดการลงทุนโครงการระเบียงเศรษฐกิจ 4 ภาคตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ เคยทำการศึกษาไว้ หลังผลประเมินทิศทางอุตสาหกรรมในปีนี้แล้วพบพื้นที่ภาคตะวันออกที่มีโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เป็นเพียงภูมิภาคเดียวของประเทศที่มีแนวโน้มขยายตัว เนื่องจากมีการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า อุตสาหกรรมดิจิทัล อุตสาหกรรมอิเลกทรอนิกส์ ตลอดจนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ EEC และการขยายตัวของนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งจะช่วยผลักดันการส่งออกและการค้าชายแดนให้เพิ่มขึ้น
"ผลประเมินที่ออกมาชี้ให้เห็นว่าโครงการอีอีซีส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจ ดังนั้นจึงควรเร่งผลักดันโครงการระเบียงเศรษฐกิจ 4 ภาคต่อไป โดยพิจารณาว่าแต่ละพื้นที่ควรส่งเสริมอุตสาหกรรมใด แต่ต้องทำให้ครบวงจร" นายเกรียงไกร เธียรนุกูล ประธาน ส.อ.ท.กล่าว
ประธาน ส.อ.ท.กล่าวว่า กรณีที่รัฐบาลชูนโยบายให้มีการลงทุนโครงการแลนด์บริดจ์เชื่อมชายทะเลฝั่งอ่าวไทยกับฝั่งอันดามัน (ชุมพร-ระนอง) นั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ (เซาท์เทิร์นซีบอร์ด) การลงทุนในพื้นที่ดังกล่าวน่าจะเป็นอุตสาหกรรมพลังงาน เช่น การตั้งโรงกลั่นน้ำมันที่มีประเทศในตะวันออกกลางให้ความสนใจมาลงทุน
ขณะที่การค้าชายแดนและการค้าผ่านแดนในปัจจุบันมีมูลค่าสูงเฉียด 1 ล้านล้านบาท จึงเป็นช่องทางการค้าสำคัญที่รัฐบาลควรให้การส่งเสริมและสนับสนุนเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากเป็นการค้าที่ใช้เงินตราในภูมิภาค