นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษในงานสัมมนา "Thailand 2024 The Great Challenge เพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย ขยายโอกาส" ว่า ตลอดกว่า 4 เดือนที่ผ่านมารัฐบาลได้มีการดูแลประชาชนเรื่องของเศรษฐกิจ ปากท้อง ปัญหาสังคม ปัญหาความเหลื่อมล้ำมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีการขยายโอกาสให้กับคนไทยทุกคน ซึ่งการสร้างโอกาสก็คือการลงทุน โดยในการไปร่วมประชุม World Economic Forum (WEF) ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ได้พบปะผู้นำภาคธุรกิจต่างๆ ผู้นำองค์กรที่มีชื่อเสียงระดับโลก โดยได้นำเสนอโครงการแลนด์บริดจ์ และจากการพูดคุยมีนักลงทุน ทั้งจากอินเดียหรือดูไบ สนใจและพร้อมมาพูดคุย และมาดูสถานที่จริง
แม้ว่าโครงการแลนด์บริจด์ มีทั้งผู้เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แต่ยืนยันว่ารัฐบาลนี้จะรับฟังทุกข้อท้วงติง และต้องมีการทำการศึกษาอย่างเป็นธรรม โดยจะใช้งบลงทุนให้น้อยที่สุด ให้คนอื่นมาลงทุนด้วย เราไม่ใช่แค่ฟังความเห็นของประชาชน แต่ต้องฟังผู้ลงทุนด้วยว่าอยากได้อะไร
พร้อมยกตัวอย่างโครงการสนามบินสุวรรณภูมิ มาเปรียบเทียบกับโครงการแลนด์บริจด์ ถ้าไม่กล้าสร้างกล้าลงทุนเมื่อกว่า 20 ปี ทุกวันนี้ถ้าต้องพึ่งสนามบินดอนเมืองสนามบินเดียวจะเป็นอย่างไร
"ไม่ใช่แค่เห็นอย่างเดียว หรือฝันอย่างเดียว แต่ต้องลงมือทำด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ในวันนั้นลองฟังเสียงคัดค้านดูว่ามีจำนวนมากขนาดไหน ซึ่งการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่เช่นนี้ ก็ต้องมีการพูดคุยกันในทุกมิติให้ดี แต่เรื่องของโอกาสเป็นเรื่องที่สำคัญ ไม่อยากให้เรามาเสียโอกาสกันอีก เรื่องของสนามบินที่ได้ทำมาซึ่งในวันนี้ทุกคนก็ได้อานิสงส์กันไป" นายเศรษฐา กล่าว
นอกจากนี้ยังมีเรื่องการทำสนธิสัญญาการค้าระหว่างประเทศ (FTA) ซึ่งเราล้าหลังคู่แข่งอย่าง เวียดนาม โดยหากสามารถลงนาม FTA กับอียู ก็จะสร้างความมั่นใจและดึงนักลงทุนกลับมา
สำหรับในเรื่องท่องเที่ยว Quick win รัฐบาลได้เริ่มนโยบายวีซ่าฟรีในหลายประเทศ และในสัปดาห์หน้าจะมีการดำเนินการเป็นถาวรระหว่างไทยกับจีน ถือว่าเป็นการยกระดับพาสปอร์ตของไทยขึ้นมาอีกระดับ นอกจากนี้ตนได้พบกับประธาน EU และประธานาธิบดีเบลเยียม ได้มีการพูดคุยเรื่องวีซ่า SCHENGEN ที่ต้องการให้สามารถเข้า-ออกฟรีได้เช่นกัน
นายกรัฐมนตรี ระบุว่า เรื่องของ E-government ถือว่าสำคัญ เชื่อว่าหากใช้เทคโนโลยี และ Cloud เข้ามาพัฒนาภาครัฐ จะสามารถช่วยร่นระยะเวลาในการดำเนินเอกสารให้ผู้ประกอบการ และดูแลทุกบาททุกสตางค์ที่เป็นเงินภาษีของประชาชนได้
ในด้านพลังงานสะอาด ถือเป็นจุดแข็งของประเทศไทย เพราะจะทำให้ได้เปรียบคู่แข่งต่างชาติอย่าง เวียดนาม และอินโดนีเซีย ขณะเดียวกันจะพยายามดูแลค่าไฟฟ้า เพื่อดึงดูดนักลงทุนเข้ามาในประเทศด้วย
"เชื่อว่ายังมีความท้าทายอีกหลายเรื่องที่ยังไม่ได้พูด อาทิ รัฐธรรมนูญ สิทธิในการเลือกเพศสภาพ สิทธิในการประกอบอาชีพ แต่ถึงแม้จะไม่ได้พูด ก็ยืนยันว่ารัฐบาลให้ความสำคัญอย่างยิ่งและรับฟังทุกเสียง แต่เราเป็นรัฐบาลผสมจึงต้องมีการพูดคุยกันเยอะ ดังนั้นหากรัฐบาลช่วยสร้างโอกาส สร้างฐานรากที่ดีประเทศไทยก็จะสามารถต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลง ต่อสู้กับประเทศเพื่อนบ้าน และมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นได้แน่นอน ซึ่งเรามีความตั้งใจจริงในการส่งต่ออนาคตที่ดีกว่าให้กับลูกหลานคนไทยทุกคน" นายเศรษฐา กล่าว