กระทรวงพาณิชย์ แถลงภาวะการค้าระหว่างประเทศในเดือน ธ.ค.66 การส่งออกมีมูลค่า 22,791.6 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวต่อเนื่องที่ 4.7% แต่ต่ำกว่าตลาดคาดว่าจะเติบโตราว 6% ส่งผลให้ทั้งปี 66 การส่งออกมีมูลค่า 284,561.8 ล้านเหรียญสหรัฐ ตัวเลขเฉลี่ยหดตัวลดลงเหลือ 1%
ขณะที่การนำเข้าในเดือน ธ.ค.66 มีมูลค่า 21,818.8 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัว 3.1% และทั้งปี 66 มีมูลค่า 289,754.3 ล้านเหรียญสหรัฐ ติดลบ 3.8%
ในเดือน ธ.ค.66 ไทยพลิกมาเกินดุลการค้า 972.8 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่ทั้งปี 66 ยังขาดดุลการค้า 5,192.5 ล้านเหรียญสหรัฐ
นายกีรติ รัชโน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า หากพิจารณาการส่งออกในรายกลุ่มสินค้า จะพบว่า
- กลุ่มสินค้าเกษตร ในเดือนธ.ค.66 หดตัว -8.3% ที่มูลค่า 1,872 ล้านเหรียญสหรัฐ กลับมาหดตัวครั้งแรกในรอบ 5 เดือน โดยสินค้าเกษตรที่ขยายตัวดี ได้แก่ กุ้งต้มสุกแช่เย็น, ข้าว, ผักสด แช่เย็น-แช่แข็ง และแห้ง, ยางพารา, ไก่แปรรูป ขณะที่ทั้งปี 66 การส่งออกในกลุ่มสินค้าเกษตร ขยายตัวได้เล็กน้อยที่ 0.2% คิดเป็นมูลค่า 26,801 ล้านเหรียญสหรัฐ
- กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมเกษตร ในเดือนธ.ค.66 ขยายตัวได้ 3.6% ที่มูลค่า 1,613 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นการขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 โดยสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรที่ขยายตัวดี ได้แก่ น้ำตาลทราย, สิ่งปรุงรสอาหาร, ผลไม้กระป๋องและแปรรูป, อาหารสัตว์เลี้ยง และเครื่องดื่ม ขณะที่ทั้งปี 66 การส่งออกในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมเกษตร หดตัว -1.7% คิดเป็นมูลค่า 22,401 ล้านเหรียญสหรัฐ
- กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม ในเดือนธ.ค.66 ขยายตัว 5% ที่มูลค่า 18,205 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 โดยสินค้าอุตสาหกรรมที่ขยายตัวดี ได้แก่ เหล็ก-เหล็กกล้า และผลิตภัณ์, ไม้-ผลิตภัณฑ์ไม้, อัญมณีและเครื่องประดับ, รถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ, ผลิตภัณฑ์ยาง, เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ขณะที่ทั้งปี 66 การส่งออกในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม หดตัว -1.% คิดเป็นมูลค่า 223,691 ล้านเหรียญสหรัฐ
"การส่งออกทั้งปี 2566 ถือว่าผิดคาดไปจากที่หลายสำนักประเมินกันไว้ว่าจะ -2% ซึ่งจากการทำงานร่วมกันอย่างเต็มที่ของกระทรวงพาณิชย์ และภาคเอกชนผู้ส่งออก จึงทำให้ในปีที่ผ่านมา การส่งออกของไทยติดลบน้อยกว่าที่หลายฝ่ายคาด โดยหดตัวแค่ -1%" ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าว
พร้อมระบุว่า สำหรับสินค้าของไทยที่มีมูลค่าการส่งออกสูงสุด 10 อันดับแรก ในปี 66 ได้แก่ อันดับ 1 รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ มูลค่า 31,024 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 9% อันดับ 2 เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ มูลค่า 17,825 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัว 13.9% อันดับ 3 อัญมณีและเครื่องประดับ มูลค่า 14,787 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัว 2.2% อันดับ 4 ผลิตภัณฑ์ยาง มูลค่า 13,248 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัว 4.4% อันดับ 5 น้ำมันสำเร็จรูป มูลค่า 10,213 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 0.8%
อันดับ 6 แผงวงจรไฟฟ้า มูลค่า 9,685 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 4.1% อันดับ 7 เม็ดพลาสติก มูลค่า 8,877 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัว 16.9% อันดับ 8 เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ มูลค่า 8,784 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 0.3% อันดับ 9 เคมีภัณฑ์ มูลค่า 8,055 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัว 16% และอันดับ 10 เหล็ก-เหล็กกล้า และผลิตภัณฑ์ มูลค่า 6,955 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัว 0.7%
ส่วนตลาดส่งออกสำคัญของไทย ใน 10 อันดับแรกของปี 66 ได้แก่ อันดับ 1 สหรัฐอเมริกา 48,864 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 2.8% อันดับ 2 จีน 34,164 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัว 0.8% อันดับ 3 ญี่ปุ่น 24,669 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 0.1% อันดับ 4 ออสเตรเลีย 12,106 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 8.2% อันดับ 5 มาเลเซีย 11,874 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัว 6.3%
อันดับ 6 เวียดนาม 11,196 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัว 15.6% อันดับ 7 ฮ่องกง 11,096 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 10% อันดับ 8 สิงคโปร์ 10,243 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัว 0.4% อันดับ 9 อินเดีย 10,118 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัว 3.9% และอันดับ 10 อินโดนีเซีย 10,043 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัว 2.9%
* พาณิชย์ตั้งเป้าส่งออกปี 67 โต 1-2%
นายกีรติ กล่าวต่อถึงแนวโน้มการส่งออกไทยในปี 67 ว่ากระทรวงพาณิชย์ ได้ตั้ง Working Target ปีนี้ว่าการส่งออกจะพลิกกลับมาขยายตัวได้ 1-2% มูลค่า 2.8-2.9 แสนล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีแผนจัดกิจกรรมส่งเสริมการส่งออกมากกว่า 400 กิจกรรมในประเทศต่าง ๆ ทั้งการบุกตลาดเมืองรอง และการขับเคลื่อนการเจรจา FTA ภายใต้ "นโยบายการทูตเศรษฐกิจเชิงรุก" ของรัฐบาล ซึ่งได้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ เพื่อผลักดันการส่งออกไทยให้เติบโตเป็นฟันเฟืองสำคัญในการผลักดันการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยต่อไป
ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ภาครัฐได้มีการหารือกับเอกชนมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเตรียมความพร้อมในการผลักดันการส่งออกภายใต้ปัจจัยท้าทายต่างๆ เช่น การผลักดันสินค้าของผู้ประกอบการ SME ให้สามารถออกไปจำหน่ายในตลาดต่างประเทศได้มากขึ้น, การส่งเสริมสินค้าไทยไปจำหน่ายยังตลาดใหม่ เพื่อกระจายตลาดให้กว้างขึ้น เช่น ตลาดประเทศในกลุ่ม CIS ตลาดแอฟริกา เป็นต้น รวมถึงการหารือกับระดับผู้บริหารของต่างประเทศ เพื่อผลักดันการเปิดตามเพิ่มเติมให้แก่สินค้าไทย เป็นต้น
สำหรับปัจจัยสำคัญสนับสนุนการส่งออกปีนี้ ได้แก่ 1. การเริ่มฟื้นตัวตามวัฎจักรของสินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงการเตรียมออกผลิตภัณฑ์ใหม่ในช่วงท้ายปี 66 ถึงต้นปี 67 ส่งผลบวกต่อสินค้าเกี่ยวเนื่องกับห่วงโซ่การผลิต 2. การจำกัดปริมาณการส่งออกข้าวของอินเดีย ทำให้ข้าวไทยเป็นที่ต้องการของตลาดมากขึ้น ท่ามกลางการเกิดปรากฎการณ์เอลนีโญ และ 3.การจับจ่ายใช้สอยของประชาชนเพิ่มขึ้นตามแนวโน้มเงินเฟ้อชะลอลง
แต่ยังมีปัจจัยท้าทายที่สำคัญที่ไม่สามารถควบคุมได้ เช่น 1.ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ 2.อัตราดอกเบี้ยยังสูง กดดันการลงทุนใหม่ของภาคเอกชน
นายกีรติ กล่าวว่า นอกจากนี้ ยังมีอีก 2 ปัจจัยเพิ่มเติมที่กระทรวงพาณิชย์ให้ความสำคัญ เพราะจะมีผลกระทบ คือ 1. การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน อันเป็นผลมาจากปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าจะมีผลกระทบต่อทั้งเศรษฐกิจและการส่งออกของไทย ซึ่งนโยบายของรมว.พาณิชย์ จะเจรจาเจาะตลาดสินค้าไทยเป็นรายมณฑล รวมถึงการทำ E-commerce รูปแบบทันสมัยมากขึ้น เช่น การให้อินฟลูเอนเซอร์ประเทศนั้นๆ ร่วมโปรโมทสินค้าไทย ถือเป็นช่องทางใหม่
อย่างไรก็ดี จากที่จีนประสบปัญหาเศรษฐกิจ สิ่งที่กระทรวงพาณิชย์มองว่าจะสามารถทำคู่ขนานกันไปได้ คือ การส่งเสริมการส่งออกไปยังตลาดอินเดีย มองว่าเป็นตลาดใหญ่ที่มีขนาดใกล้เคียงกัน และชาวอินเดียก็มีความสนใจสินค้าไทยหลายประเภท หากสามารถเข้าไปขยายตลาดได้มากขึ้น ก็จะช่วยชดเชยการส่งออกไปตลาดจีนได้ในระดับหนึ่ง
2. ปัญหาความขัดแย้งในทะเลแดง กระทบต่อระบบโลจิสติกส์ ทำให้ระยะเวลาการขนส่งสินค้า ตลอดจนต้นทุนค่าขนส่ง ค่าระวางเรือปรับสูงขึ้น กระทรวงพาณิชย์ได้หารือกับสายเดินเรือมาอย่างต่อเนื่องหลังจากได้รับผลกระทบจากที่ต้องอ้อมเส้นทางเดินเรือที่ไกลขึ้น แต่ได้ขอความร่วมมือให้การปรับขึ้นค่าระวางอย่างสมเหตุสมผล และส่งรายงานข้อมูลมาให้อย่างสม่ำเสมอเพื่อเผยแพร่ให้ผู้ส่งออกได้รับทราบและสามารถคำนวณต้นทุนราคาสินค้าได้อย่างเหมาะสม
"เราก็มีแนวคิดว่า ไหนๆ ก็จะต้องอ้อมเส้นทางเดินเรือไปผ่านทางแอฟริกาอยู่แล้ว ก็จะเอาสินค้าไทยไปขายด้วยดีหรือไม่ เราจึงมีแผนที่จะไปขยายตลาดสินค้าไทยในแอฟริกาใต้เพิ่มเติม ซึ่ง รมว.พาณิชย์ ก็เห็นด้วย และมองว่าน่าจะใช้วิกฤตินี้ให้เป็นโอกาสที่ดีต่อการส่งออกสินค้าของไทย" นายกีรติ ระบุ