โธมัส โฮนิก ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาแคนซัส ซิตี้ กล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐที่กำลังเผชิญแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ "รุนแรง" ในขณะนี้ อาจทำให้เฟดตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
"เราพบว่ามีความเสี่ยงที่จะทำให้อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้นอย่างรุนแรง ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวจะสร้างความเสียหายให้กับเศรษฐกิจสหรัฐอย่างมาก ด้วยเหตุนี้คณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟดจึงจำเป็นต้องใช้มาตรการคุมเข้มทางการเงิน ซึ่งรวมถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อสกัดเงินเฟ้อ ขณะที่ผู้บริโภคเองก็แสดงความวิตกกังวลเรื่องเฟ้ออย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนนับตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1970" โฮนิกกล่าว
"เฟดจำเป็นต้องเตรียมพร้อมที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วเพื่อยับยั้งเศรษฐกิจถดถอย ภาวะตกต่ำในตลาดที่อยู่อาศัยกำลังฉุดรั้งเศรษฐกิจให้ถดถอย ขณะเดียวกัน ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะราคาน้ำมัน ที่พุ่งสูงขึ้นก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้แรงกดดันด้านเงินเฟ้อสูงขึ้นด้วย" เขากล่าว
"อัตราดอกเบี้ยในขณะนี้อยู่ในระดับที่ต่ำพอแล้ว ประกอบกับสภาคองเกรสได้ผ่านร่างมาตรการลดหย่อนภาษีและการคืนภาษี ซึ่งปัจจัยเหล่านี้น่าจะมากพอที่จะพยุงเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวขึ้นได้ในช่วงครึ่งปีหลัง นอกจากนี้ ยังมีมาตรการผ่อนปรนด้านอื่นๆที่แข็งแกร่งเพียงพอที่จะรองรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจได้ และผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่เฟดจะยุติการใช้นโยบายผ่อนปรนด้านการเงิน" โฮนิกกล่าว สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงาน
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช/สุนิตา โทร.0-2253-5050 ต่อ 315 อีเมล์: sunita@infoquest.co.th--