นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สนค. เสนอแนะแนวทางการส่งเสริมผู้ประกอบการธุรกิจบริการ ให้สามารถปรับตัวให้เท่าทันแนวโน้มของผู้บริโภคยุคใหม่ เนื่องจากปัจจุบันภาคบริการ มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจโลก โดยมีสัดส่วนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของโลก มากกว่าภาคเกษตรและอุตสาหกรรมรวมกัน
ตลอดจนมีบทบาทสำคัญในการอำนวยความสะดวกทางการค้า ในห่วงโซ่อุปทานของโลกให้เป็นไปอย่างราบรื่น โดยเป็นตัวกลางในการผลิตสินค้าและบริการต่างๆ และสร้างมูลค่าประมาณ 3.95 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ มากกว่า 2 เท่าของการส่งออกบริการในฐานะสินค้าขั้นสุดท้าย ภาคบริการจึงเป็นภาคส่วนหนึ่งที่มีความสำคัญต่อทั้งผู้บริโภค และผู้ประกอบการยุคใหม่
นายพูนพงษ์ กล่าวว่า หนึ่งในปัจจัยที่มีผลต่อแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจบริการ คือ ความสนใจของผู้บริโภคยุคใหม่ เช่น การใช้เทคโนโลยี AI ในการจัดการกับปัญหาในชีวิตประจำวัน ทำให้ภาคบริการคอมพิวเตอร์ สารสนเทศและการสื่อสาร เติบโตเฉลี่ยต่อปีตั้งแต่ปี 2548-2565 ที่ 10% การหลีกหนีจากความเคร่งเครียด เพื่อสัมผัสกับประสบการณ์ใหม่ๆ ทำให้มีการใช้บริการด้านความบันเทิงมากขึ้น โดยบริการด้านวัฒนธรรม และนันทนาการของโลก เติบโตเฉลี่ยต่อปีตั้งแต่ปี 2548-2565 เพิ่มขึ้น 7% เป็นต้น
ทั้งนี้ พฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่ ที่มีความสำคัญต่อแนวโน้มของธุรกิจบริการในปัจจุบัน อาจแบ่งได้ตามช่วงวัย ดังนี้
1. ผู้บริโภคเด็ก Gen ใหม่
ประกอบด้วย Gen Z (ผู้ที่เกิดตั้งแต่ พ.ศ. 2539-2554) และ Gen Alpha (ผู้ที่เกิดตั้งแต่ พ.ศ.2555-2567) คือ Gen ของเด็กที่เริ่มเข้าสู่วัยทำงานไปจนถึงเด็กที่เกิดใหม่ เป็นกลุ่มช่วงอายุที่มีสัดส่วน 33.8% ของจำนวนประชากรทั้งหมดในไทย เป็นผู้บริโภคที่มีทักษะในการใช้เทคโนโลยีสูง ทำให้มีช่องทางในการใช้บริการในด้านต่างๆ ได้มาก พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ จึงเป็นช่องทางสำคัญสำหรับการค้าสินค้าและบริการกับผู้บริโภคในช่วงวัยนี้
โดยผู้บริโภคในวัยข้างต้น มีความเปิดกว้างทางความคิด และให้คุณค่ากับแนวคิดที่สอดคล้องกันระหว่างผู้บริโภค และผู้ประกอบการ เช่น มีความสนใจในสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไม่เน้นการใช้สินค้ายี่ห้อที่มีชื่อเสียง แต่เน้นที่คุณค่าและความเป็นตัวตนที่หาไม่ได้ที่อื่น
ธุรกิจบริการที่มีแนวโน้มเติบโต และสอดคล้องกับผู้บริโภค Gen นี้ คือธุรกิจบริการที่มีการส่งผ่านทางดิจิทัล (Digitally delivered services) ที่นับรวมธุรกิจบริการทั้งหมดที่ให้บริการผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ตั้งแต่การสตรีมเกม ไปจนถึงการให้คำปรึกษาผ่านระบบทางไกล
โดยในปี 65 มีมูลค่า 3.82 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 54% ของการส่งออกบริการทั้งหมดของโลก อีกทั้งมีการขยายตัว 16% ในปี 2564 จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เนื่องจากความจำเป็นต้องมีการทำงาน การเรียน และการรับความบันเทิงผ่านระบบทางไกลทำให้มีการส่งออกบริการผ่านทางดิจิทัลมากขึ้น แม้ว่าในปี 2565 มีการชะลอตัว แต่ก็ยังขยายตัวอยู่ที่ 3% ประกอบกับวิถีชีวิตและความสนใจของผู้บริโภคยุคใหม่ ทำให้ธุรกิจบริการดังกล่าวยังได้รับความนิยม
2. ผู้บริโภค Gen ผู้ใหญ่ทันสมัย
ประกอบด้วย Baby Boomer (ผู้ที่เกิดตั้งแต่ พ.ศ.2489-2507) และ Gen X (ผู้ที่เกิดตั้งแต่ พ.ศ.2508-2523) คือ Gen ของวัยกลางคนไปจนถึงผู้สูงอายุ เป็นกลุ่มช่วงอายุที่มีสัดส่วน 41.3% ของจำนวนประชากรทั้งหมดในไทย โดย Baby Boomer เป็นกลุ่มผู้ใช้บริการที่มีเวลาว่างมากขึ้น ชอบทำกิจกรรม และมีกำลังในการใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้าและบริการต่างๆ โดยใช้บริการ Facebook เป็นโซเชียลมีเดียหลักในการรับรู้ข่าวสารใหม่ๆ จึงสามารถใช้ช่องทางดังกล่าว ในการทำการตลาดได้
ในขณะที่ Gen X เป็นช่วงวัยกลางคนที่ต้องมีการวางแผนเกษียณหลังการทำงาน วางแผนเรื่องสุขภาพ และประกันชีวิต ธุรกิจบริการที่เหมาะกับผู้บริโภคใน 2 ช่วงวัยนี้ อาจเน้นที่ธุรกิจบริการสุขภาพ โดยนอกจากจะเป็นการให้บริการรักษาแล้ว อาจมีการให้บริการบำรุงร่างกายและจิตใจ ผ่านกิจกรรมเพื่อสุขภาพต่างๆ
ธุรกิจบริการที่มีแนวโน้มเติบโต และสอดคล้องกับผู้บริโภค Gen นี้ คือธุรกิจบริการที่เกี่ยวกับสุขภาพ โดยธุรกิจบริการสุขภาพที่น่าสนใจ อาทิ โทรเวช หรือการแพทย์ทางไกล (telemedicine) เป็นหนึ่งในการให้บริการทางการแพทย์ยุคใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีในการสื่อสาร ประกอบกับการให้บริการทางการแพทย์ รวมทั้งธุรกิจการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ก็เป็นอีกหนึ่งธุรกิจบริการที่น่าสนใจ
โดยไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่เป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ ร่วมกับประเทศอื่นๆ เช่น บราซิล คิวบา อินเดีย จอร์แดน มาเลเซีย เกาหลีใต้ สิงคโปร์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) จึงเป็นโอกาสของธุรกิจท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ นอกจากนี้ ธุรกิจประกันภัยและบำเหน็จบำนาญ ก็เป็นธุรกิจที่อยู่ในความสนใจของ Gen ผู้ใหญ่ทันสมัย ซึ่งมีการเติบโตเฉลี่ยต่อปีตั้งแต่ปี 2548-2565 เพิ่มขึ้น 6%
นายพูนพงษ์ ให้ข้อเสนอแนะว่า แนวโน้มของธุรกิจบริการในปัจจุบัน ประกอบกับพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่ ทำให้ผู้ประกอบธุรกิจบริการ ต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับทิศทางการค้าที่เปลี่ยนแปลงไป ดังนี้
1. ติดตามแนวโน้มและความเปลี่ยนแปลงของโลก และแสวงหาความรู้อยู่อย่างสม่ำเสมอ
2. สร้างความร่วมมือกับคู่ค้าที่หลากหลาย เพื่อให้สามารถร่วมพัฒนา และส่งเสริมธุรกิจซึ่งกันและกันได้
3. ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจบริการ และสร้างนวัตกรรมที่หลากหลาย ตอบสนองแนวโน้มใหม่ๆ พัฒนารูปแบบ หรือช่องทางการให้บริการผ่านทางดิจิทัล และปรับตัวสู่เศรษฐกิจดิจิทัล
4. ให้ความสำคัญกับคุณค่า และการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยการทำธุรกิจบริการตอบสนองต่อแนวโน้มใหม่ของโลก ที่นำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน อาทิ ธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม สังคมผู้สูงอายุ สุขภาพ และเป็นประโยชน์ต่อสังคม เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถพัฒนาตามแนวทางให้สอดรับกับความเปลี่ยนแปลงของโลก
นายพูนพงษ์ กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์ มีแนวทางส่งเสริมผู้ประกอบการ เพื่อให้ผู้ประกอบการได้พัฒนาตามแนวโน้มธุรกิจบริการให้สามารถรองรับกับผู้บริโภคยุคใหม่ ทั้งเด็ก Gen ใหม่ และ Gen ผู้ใหญ่ทันสมัย โดยมีสถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ (NEA) ที่ช่วยพัฒนาผู้ประกอบการให้ทันต่อแนวโน้ม และความเปลี่ยนแปลงในการทำธุรกิจ
รวมทั้งมีการอบรมออนไลน์ทางเว็บไซต์ DBD Academy เพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงองค์ความรู้ในการทำธุรกิจ ผู้ประกอบการจึงสามารถใช้ช่องทางเหล่านี้ ในการแสวงหาข้อมูล ความรู้ และนำไปปรับใช้ในการพัฒนาตนเอง และใช้ประโยชน์จากโอกาสทางธุรกิจต่อไปได้