สถานการณ์หนี้ครัวเรือนของไทยยังน่ากังวล โดยตัวเลขล่าสุดจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่า หนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูงกว่า 90% ของ GDP และจากการศึกษาพฤติกรรมการใช้จ่าย และทัศนคติทางการเงินของคนรุ่นใหม่ หรือ Gen Z มีแนวโน้มเป็นหนี้มากขึ้นในอนาคต และไม่คำนึงถึงการวางแผนการเงินเพื่ออนาคตมากนัก นอกจากนี้ คนรุ่นใหม่ยังนิยมซื้อสินค้าฟุ่มเฟือย แบบซื้อก่อนจ่ายทีหลัง
"อินโฟเควสท์" ได้พูดคุยกับ น.ส.วรวรรณ พลิคามิน รองเลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ เกี่ยวกับสถานการณ์ก่อหนี้คนรุ่นใหม่ (คนอายุ 20-29 ปี) ว่า จากข้อมูลเครดิตบูโร พบคนรุ่นใหม่มีหนี้ในระบบรวม 1.1 ล้านล้านบาท เทียบเป็น 6.6% ของ GDP เพิ่มขึ้นจากปี 56 ถึง 46.6%
คนรุ่นใหม่ ยังนิยมซื้อสินค้าฟุ่มเฟือยแบบ "ซื้อก่อน จ่ายที่หลัง" จากการสำรวจของสภาพัฒน์ ร่วมกับบริษัทศูนย์วิจัยเพื่อการพัฒนาสังคมและธุรกิจ จำกัด (Research Centre for Social and Business Development Co., Ltd.) หรือ SAB ในประเด็นแนวโน้มพฤติกรรมการใช้จ่ายแบบ "ซื้อก่อน จ่ายทีหลัง หรือ Buy Now Pay Later (BNPL)" พบว่า 50% ของกลุ่ม Gen Z (15-27 ปี) มีรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาท เป็นกลุ่มที่ใช้บริการ BNPL มากที่สุด และส่วนใหญ่มักใช้จ่ายไปกับสินค้าจำพวกเสื้อผ้า รองเท้า และเครื่องประดับ สะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมเสี่ยงของเด็กรุ่นใหม่ที่อาจก่อหนี้เกินตัว
การก่อหนี้ในคนรุ่นใหม่ ส่วนหนึ่งเกิดจากค่านิยม และทัศนคติใช้จ่ายเพื่อความสุขความพอใจให้กับตนเอง หรือ "ของมันต้องมี" ขณะเดียวกัน นิยมซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ (E-commerce) ซึ่งทำให้จับจ่ายใช้สอยได้ง่ายขึ้น เป็นพฤติกรรมที่มีการใช้จ่ายฟุ่มเฟือย และหากขาดการไตร่ตรองก่อนใช้จ่าย อาจนำไปสู่การก่อหนี้ที่ไม่จำเป็นในอนาคต
ข้อมูลข้างต้น สอดคล้องกับที่มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้ทำการสำรวจพฤติกรรมการออมเงินและการใช้จ่ายของเด็กรุ่นใหม่ (Gen Z) จำนวน 802 ตัวอย่าง (ทั่วประเทศ) วันที่สำรวจ 6-15 ม.ค. 67 ซึ่งส่วนใหญ่กำลังศึกษาถึง 92.4% ส่วนอีก 5.8% ทั้งศึกษาและทำงาน และ 1.9% ทำงานแล้ว พบว่า 65% ไม่มีทั้งการออมและการลงทุน
อย่างไรก็ดี พบว่า 58.2% มีค่าใช้จ่ายเท่ากับรายได้ และอีก 24.7% ค่าใช้จ่ายมากกว่ารายได้ ซึ่งในส่วนของกลุ่มที่มีรายจ่ายมากกว่า จะแก้ไขปัญหาด้วยการขอเงินผู้ปกครอง ยืมเงินเพื่อน ทำงานพิเศษ ขายสินทรัพย์ส่วนตัว กู้ยืมทั้งในและนอกระบบ ส่งผลให้มีหนี้นอกระบบเฉลี่ยคนละ 10,708 บาท และในระบบ รวมกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เฉลี่ย 41,185 บาท
จากพฤติกรรมการใช้จ่าย และทัศนคติทางการเงินของคนรุ่นใหม่นั้น สภาพัฒน์ มองว่า อาจต้องมีการให้ความสำคัญถึงการส่งเสริม Financial literacy ตั้งแต่วัยเด็ก และต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องในทุกช่วยวัย เพื่อสร้างรากฐานที่ดี ให้คนรุ่นใหม่มีการวางแผนเตรียมความพร้อมในการดำเนินชีวิตในอนาคตต่อไป เช่น วัยเด็กและวัยเรียน ต้องบรรจุหลักสูตรที่ช่วยปลูกฝังพฤติกรรมการเงินที่ดี อาทิ การเก็บออม
ขณะที่วัยทำงาน ซึ่งเป็นวัยที่มีรายได้ ควรสร้างการตระหนักรู้ในการวางแผนทางการเงิน การลงทุน และการเก็บออม เพื่อลดความเสี่ยงทางการเงินในยามฉุกเฉิน และเตรียมพร้อมสำหรับวัยเกษียณอายุ เป็นต้น
นายทัตพล เมธีวิริยาภรณ์ อดีตผู้ก่อตั้ง MONEY CLASS มองว่า นิยามของ "ความรู้ทางการเงิน" คือ การเรียนรู้ใดๆ ก็ตามเพื่อตัดสินใจเรื่องเงิน เพื่อให้ใช้ชีวิตได้อย่างยั่งยืน โดยสิ่งที่ต้องรู้เพื่อให้รอดจากการเป็นหนี้ คือ 1. รู้สภาพคล่องตัวเอง 2. รู้เรื่องการจัดการความเสี่ยง และ 3. รู้เรื่องความมั่งคั่ง การลงทุน ส่วนในเด็กเล็กต้องสอน 4 เรื่อง คือ "หาเงิน ใช้เงิน เก็บเงิน ลงทุน"
พร้อมมี 6 ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย แก้ปัญหาหนี้สินของคนรุ่นใหม่ในสังคมไทย คือการปลูกเมล็ดพันธุ์ให้เด็ก ดังนี้
1. ให้หน่วยงานกลางของภาครัฐที่ทำร่วมกับเอกชน ผลักดัน "หลักสูตรวิชาการเงิน" ในโรงเรียน ซึ่งมองว่าควรเป็นกระทรวงศึกษาธิการ
2. เปิดโอกาสให้โรงเรียนออกแบบหลักสูตรของตัวเองได้ สำหรับผู้เรียนทุกระดับชั้น ทุกโรงเรียน
3. จัดอบรมครูให้เข้าใจจุดประสงค์ของการสอนวิชาการเงิน และส่งเสริมครูให้มีสุขภาพการเงินที่ดี พร้อมมีระบบที่ปรึกษาครูภายในโรงเรียน
4. จัดให้มีการวัดผล "ความรู้การเงิน" ที่เป็นมาตรฐาน และวัดผลครบทั้ง 3 มิติ คือ ผลสอบ, ผลงาน และพฤติกรรม
5. ส่งเสริมให้เกิดกลุ่ม/ ชมรม/ สังคม สร้างสรรค์เกี่ยวกับการเงิน ในโรงเรียน เพื่อกระตุ้นให้เกิด Money in action ตั้งแต่ในโรงเรียน
6. สอนความรู้การเงินที่ถูกต้องกับผู้ปกครอง เพื่อให้สามารถนำความรู้ไปสอนลูกได้ และส่งเสริมให้เกิดการพูดคุยและแลกเปลี่ยนได้ ในระดับครัวเรือน
โดยสรุปจะเห็นได้ว่า คนรุ่นใหม่มีพฤติกรรมการก่อหนี้เร็วขึ้น ซื้อก่อน จ่ายทีหลัง และซื้อของฟุ่มเฟือย ซึ่งปัญหาดังกล่าวอาจส่งผลให้ภาพรวมหนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นในอนาคต และอาจเห็นภาพการก่อหนี้ซ้ำซ้อน หรือการก่อหนี้ใหม่เพื่อไปชำระหนี้เดิม ดังนั้น ทางออกของปัญหาต้องเริ่มที่การปลูกฝังความรู้เรื่องการเงินตั้งแต่วัยเรียน เพื่อให้ในอนาคตเด็กที่เติบโตขึ้นมาสามารถวางแผนทางการเงิน และไม่ติดกับดักหนี้ได้ง่าย