นางจินดารัตน์ วิริยะทวีกุล ที่ปรึกษาด้านหนี้สาธารณะ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า สบน. อยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ในการออกพันธบัตรสกุลเงินตราต่างประเทศ (Foreign Currency Bond) โดยเบื้องต้นประเมินว่าจะออกในวงเงิน 500-1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือไม่เกิน 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนในเดือน มี.ค.นี้ เพราะจะต้องพิจารณาถึงความคุ้มค่า ต้นทุน ความเสี่ยง รวมถึงข้อกฎหมายต่าง ๆ ให้รอบด้านก่อนที่จะเสนอให้ รมว.คลัง พิจารณา
"ตอนนี้ ยังตอบไม่ได้ชัด ว่าจะทำหรือไม่ทำ อยู่ระหว่างการศึกษาว่าจะออก ภายใต้เงื่อนไขว่าต้องคุ้มค่า ดูทั้งข้อกฎหมายต่าง ๆ หากจะออกไป ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะต้องมานั่งคุยกันก่อน เรื่องนี้เป็นโจทย์ที่รัฐบาลให้ไปศึกษาความเป็นไปได้ คงต้องตอบให้เร็วที่สุด คาดว่าไม่เกิน มี.ค. ต้องมีความชัดเจน" นางจินดารัตน์ กล่าว
พร้อมระบุว่า ประเทศไทย ไม่ได้มีการการออกพันธบัตรสกุลเงินตราต่าง มานานกว่า 20 ปีแล้ว ซึ่งการที่นำกลับมาพิจารณาในช่วงนี้ เพราะเห็นว่าจะสามารถช่วยให้รัฐบาลเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่กว้างขึ้น ลดโอกาสการเกิด Crowing out effect และทำหน้าที่เป็นอัตราอ้างอิง (Benchmark) ในการออกพันธบัตรสกุลเงินตราต่างประเทศให้กับภาคเอกชน ที่ปัจจุบันพบว่าการไม่มีอัตราอ้างอิง ทำให้เกิดต้นทุนการระดมทุนที่แพงขึ้น
ขณะเดียวกัน การออกพันธบัตรดังกล่าวมีข้อเสียเช่นกัน คือ มีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน และต้นทุนการกู้เงินของสกุลต่างประเทศที่อาจสูงกว่าการกู้จากตลาดในประเทศ
"ปัจจุบัน ไทยมีหนี้สาธารณะสกุลเงินตราต่างประเทศคงค้าง ที่ 1.4% ของหนี้สาธารณะคงค้างทั้งหมด โดยวงเงิน 4 หมื่นล้านบาทที่ออกไป ก็ถือว่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับการออกพันธบัตรภาครัฐทั้งหมดที่ 9 แสนล้านบาท" ที่ปรึกษาด้านหนี้สาธารณะ สบน. ระบุ
สำหรับแผนการออกพันธบัตรรัฐบาลในปี 2567 นั้น สบน. มีกลยุทธ์ในการระดมทุนประมาณ 2 ล้านล้านบาท โดยคาดว่าในเดือน มี.ค.นี้ จะมีการออกพันธบัตรออมทรัพย์ (Saving Bond) 4 หมื่นล้านบาท จากเป้าหมายทั้งหมด 1 แสนล้านบาท โดยมีทั้งอายุ 5 ปี และ 10 ปี ซึ่งจะออกมาเพื่อทดแทนพันธบัตรที่จะครบอายุเป็นหลัก ขณะเดียวกันในปีนี้ยัง คาดว่าจะออก Sustainability-Linked Bond (SLB) หรือ "หุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืน" วงเงินประมาณ 2.5-3 หมื่นล้านบาท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษา
ที่ปรึกษาด้านหนี้สาธารณะ สบน. กล่าวถึงแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในระยะต่อจากนี้ว่า ตลาดคาดการณ์ว่าทิศทางดอกเบี้ยจะเริ่มนิ่ง และกำลังจะเป็นขาลง จึงเป็นโอกาสที่ดีที่จะทำอะไรหลายอย่าง โดยต้นทุนดอกเบี้ยของ สบน. ปัจจุบันอยู่ที่ 2.74% ซึ่งปรับขึ้นมาตั้งแต่ช่วงโควิด-19 จากการกู้ระยะสั้นค่อนข้างมาก จากต้นทุนดอกเบี้ยช่วงก่อนโควิด-19 อยู่ที่ราว 2.4% แต่เชื่อว่าระยะถัดไป จะทยอยปรับลดลง
"หากแบงก์ชาติ ไม่ปรับดอกเบี้ยนโยบาย สบน.ก็ต้องบริหารจัดการต้นทุนดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ผ่านเครื่องมือต่าง ๆ อยู่แล้ว แต่ถ้าภาพรวมอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง ก็ต้องนำไปสู่การบริหารจัดการ เพื่อทำให้ต้นทุนดอกเบี้ยปรับตัวลดลงไปอีก" นางจินดารัตน์ กล่าว
ทั้งนี้ ความท้าทายในการบริหารหนี้ในปีงบประมาณ 2567 มาจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย ที่ปัจจุบันข่าวดีเริ่มเข้ามาแล้ว หลังจากที่ช่วงโควิด-19 มีการกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นการกู้ระยะสั้น ตอนนี้ก็ต้องเริ่มปรับโครงสร้างหนี้เป็นระยะยาวมากขึ้น เพื่อกำหนดอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
ที่ปรึกษาด้านหนี้สาธารณะ สบน. ยังกล่าวถึงการปรับแผนการก่อหนี้ใหม่ ที่ล่าสุดมีการปรับเพิ่มขึ้น 5.6 แสนล้านบาท จากเดิม 1.94 แสนล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 7.54 แสนล้านบาทนั้น ยืนยันว่า ไม่ได้เป็นส่วนเพิ่มจากการดำเนินโครงการ Digital Wallet แน่นอน โดยวงเงินที่ปรับเพิ่มขึ้น 5.6 แสนกว่าล้านบาทนั้น มาจาก 2 ส่วน คือ งบลงทุนรัฐวิสาหกิจที่อยู่ในแผนงาน ประมาณ 10% และอีก 90% เป็นของรัฐบาล ซึ่งเป็นส่วนที่ใช้สำหรับขาดดุลไปพลางก่อน
"ยืนยันว่า ทุกอย่างเป็นโครงการเก่าทั้งหมด และการปรับแผน จะดำเนินการทุกไตรมาสอยู่แล้ว" นางจินดารัตน์ ระบุ