สมาคมผู้เลี้ยงหมู เรียกร้องให้รัฐบาลพิจารณานำกลไกตลาดและโครงสร้างต้นทุนมาใช้ เพื่อยกระดับราคาหมูในประเทศให้เป็นธรรมกับทุกฝ่าย เนื่องจากต้นทุนการผลิตยังสูงและราคาสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์มยังไม่สามารถแตะต้นทุนที่ 80 บาทต่อกิโลกรัมได้ ซ้ำร้ายโดนราคาประกาศของราชการปรับลดสองสัปดาห์ต่อเนื่องรวม 4 บาทต่อกิโลกรัม
นายสุนทราภรณ์ สิงห์รีวงศ์ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคเหนือ กล่าวว่า ตั้งแต่ต้นปี 67 เกษตกรผู้เลี้ยงหมูคาดหวังว่าราคาสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์มจะปรับขึ้นสู่ระดับ 80 บาทต่อกิโลกรัม ช่วงก่อนตรุษจีนที่ผ่านมา แต่สถานการณ์ไม่เป็นไปตามที่คาดไว้เนื่องจากผลผลิตจากการฟื้นฟูฟาร์มหลังโรคระบาด ASF ออกสู่ตลาดมากขึ้น ประกอบกับหมูเถื่อนยังถูกลักลอบระบายออกจากห้องเย็นมาสมทบกับผลผลิตหมูไทย ทำให้หมูล้นตลาดและกดราคาในประเทศจนต่ำกว่าต้นทุน เกษตรกรจึงต้องอยู่ในสภาพขาดทุนต่อเนื่อง ที่สำคัญหมูเถื่อนซึ่งมีผลต่อราคาตกต่ำในขณะนี้ ยังไม่สามารถปราบปรามให้หมดได้
ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา กรมการค้าภายใน ประกาศลดราคาแนะนำหมูมีชีวิตหน้าฟาร์มต่อเนื่องรวม 4 บาทต่อกิโลกรัม โดยราคาปัจจุบันอยู่ที่ 64 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติปรับราคาคละสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์มขึ้น 2 บาท อยู่ที่ 66 บาทต่อกิโลกรัม นอกจากจะเป็นราคาที่ไม่คุ้มทุนของเกษตรกรแล้ว ยังเป็นราคาที่ทำให้เกษตรกรขาดทุนสะสมเพิ่มมากขึ้น ทั้งที่เกษตรกรต้องอดทนแบกขาดทุนสะสมมานานกว่า 11 เดือนแล้ว
"ผู้เลี้ยงหมูขอเรียกร้องให้รัฐบาลพิจารณานำกลไกตลาด มาเป็นเครื่องมือสร้างความเป็นธรรมด้านราคาให้กับทุกฝ่าย ซึ่งจะเป็นแนวทางที่ทำให้เกษตรกรขายผลผลิตได้ตามโครงสร้างต้นทุน เพราะต้นทุนเฉลี่ยของเกษตรกร 80-82 บาทต่อกิโลกรัม เทียบกับราคาประกาศของภาครัฐยังขาดทุนมาก" นายสุนทราภรณ์ กล่าว
นายสุนทราภรณ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ และสมาคมผู้เลี้ยงสุกรทั่วประเทศ มีการหารือร่วมกันกับภาครัฐ ภาคเอกชน เพื่อหาแนวทางในการรักษาเสถียรภาพราคาสุกรในประเทศ เพื่อสร้างระบบอาหารมั่นคงให้กับคนไทยและสามารถแข่งขันในเวทีโลกได้อย่างมั่นใจ ทั้งเรื่องมาตรฐาน คุณภาพ ความปลอดภัย และราคา หากแต่เกษตรกรยังต้องอยู่ในสภาพขาดทุนสะสมต่อเนื่อง และราคาถูกกดให้ต่ำตลอดเวลา วงการหมูไทยคงไปไม่รอด และอาจต้องมีคนออกจากอาชีพอีกจำนวนมาก
ทั้งนี้ ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา วงการหมูไทยประสบปัญหาราคาตกต่ำอย่างหนัก ซึ่งเป็นผลกระทบมาจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ 1. โรคระบาด ASF ทำให้ผลผลิตหายไป 50% 2. หมูเถื่อนระบาดทั่วประเทศ เข้าแทรกแซงกลไกตลาด กดราคาหมูไทย และ 3. สงครามรัสเซีย-ยูเครน ยืดเยื้อ ทำให้วัตถุดิบอาหารสัตว์ปรับขึ้นมากกว่า 30% แม้จะปรับลงบ้างก็ยังอยู่ในระดับสูง รวมถึงต้นทุนพลังงาน ทำให้ต้นทุนการผลิตปรับตัวสูงขึ้น
นอกจากนี้ เกษตรกร ยังมีค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงฟาร์มเพื่อป้องกันโรคเพิ่มขึ้น จึงอยากเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ปัญหาและอุปสรรคของคนเลี้ยงอย่างเป็นระบบ และใช้กลไกตลาดในการปรับราคาให้เกิดความเป็นธรรมกับเกษตรกร และเร่งปราบปรามหมูเถื่อนให้หมดไป ซึ่งจะเป็นนโยบายที่สนับสนุนการสร้างความมั่นคงทางอาหารของประเทศในระยะยาว