นายอนุสรณ์ ธรรมใจ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การเงินและการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า วิวัฒนาการของระบบเศรษฐกิจและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ทำให้เงิน, ระบบการเงินการธนาคาร และตลาดการเงิน เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม แม้หน้าที่และความสำคัญจะยังคงเหมือนเดิมก็ตาม แต่รูปแบบและลักษณะของเงินตราได้เปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจ พลวัตทางสังคมและความก้าวหน้าของเทคโนโลยีในระบบการเงิน การให้ใบอนุญาตธนาคารไร้สาขาและทำธุรกิจดิจิทัลเต็มรูปแบบ (Virtual Bank) จะเป็นจุดเปลี่ยนระบบโครงสร้างระบบการเงินไทยครั้งสำคัญ ธนาคารและการเงินแบบเดิมต้องปรับตัวครั้งใหญ่อีกรอบหนึ่ง ทั้งการยุบสาขา ลดคนเพิ่มอีกระลอกใหม่ ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมของระบบการเงินไทยค่อนข้างสูงจะถูกกดดันให้ลดลงในระยะยาวจากการแข่งขันเพิ่มขึ้นในธุรกิจบริการทางการเงิน ขณะที่ผู้ใช้บริการทางการเงินก็จะมีทางเลือกมากขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจเอสเอ็มอีและรายย่อย
ระบบการเงินจาก Virtual Bank บวกกับระบบธนาคารแบบดั้งเดิมจะช่วยเพิ่มและเสริมให้ตลาดการเงิน ระบบการเงิน และระบบเศรษฐกิจมีประสิทธิภาพสูงขึ้น โดยจัดสรรเงินออมไปยังผู้ใช้เงินทุนที่มีประสิทธิภาพกว่า ระบบการเงินและตลาดเงินที่ไม่พัฒนาและไม่สามารถทำหน้าที่ได้ดีเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ประเทศไม่สามารถก้าวสู่ประเทศรายได้ระดับปานกลาง ระบบการเงินและตลาดเงินที่สามารถทำหน้าที่ได้ดีและมีประสิทธิภาพ ทำให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงขึ้น เมื่อไม่มีเงินทุน กิจกรรมทางเศรษฐกิจจะสะดุดและหยุดชะงักได้ ธุรกิจเอกชนก็อาจสูญเสียโอกาสในการลงทุน รัฐบาลขาดแคลนเงินทุนก็ต้องชะลอการใช้จ่ายและการลงทุน ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาประเทศและคุณภาพชีวิตของประชาชนได้
แนวโน้มกำไรของธุรกิจอุตสาหกรรมธนาคารดั้งเดิมจะถดถอยลงในระยะยาว อำนาจกึ่งผูกขาดในอุตสาหกรรมธนาคารจะลดลงเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะเปิดให้ผู้ประกอบการรายใหม่เข้าสู่ตลาดมากหรือน้อย ผลประโยชน์ทางธุรกิจและเศรษฐกิจจะถูกแบ่งปันไปยังกลุ่ม Virtual Bank มากขึ้น โดยธุรกิจอุตสาหกรรมเทคโนโลยีดิจิทัลสื่อสารโทรคมนาคมจะมีบทบาทในการให้บริการทางการเงินเพิ่มขึ้น ยิ่งเปิดให้มี Virtual Bank มากเท่าไหร่ยิ่งเพิ่มการแข่งขัน ยิ่งทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยลดลง เกิดประโยชน์ต่อประชาชนและธุรกิจผู้ใช้บริการ จำนวนใบอนุญาตที่เหมาะสมต้องพิจารณาดูการแข่งขันที่เหมาะสมไม่นำไปสู่ปัญหาเสถียรภาพเชิงระบบด้วย
หากดูตัวอย่างของ Virtual Bank ในต่างประเทศจะพบว่ามีทั้งที่มีอัตราการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ขยายตัวปานกลาง หรือไม่ประสบความสำเร็จ เช่น WeBank ของจีน มีฐานลูกค้า 100 กว่าล้านคน, Starling Bank/Atom Bank ของอังกฤษมีฐานลูกค้าหลายล้านคน, Current Bank (Choice Financial Group) /Vora Bank ของสหรัฐฯ สามารถระดมทุนได้ในระดับพันล้านดอลลาร์เพื่อปล่อยสินเชื่อ N26, Virtual Bank ของเยอรมนีสามารถให้บริการทางการเงินด้วยนวัตกรรมทางการเงินให้กับฐานลูกค้า 7 ล้านคน, Kakao Bank ของเกาหลีใต้มีฐานลูกค้า 17 ล้านคน
บริษัทยักษ์ใหญ่ไฮเทคได้ร่วมกับสถาบันการเงินในการทำธุรกิจ Virtual Bank อย่างกรณีการเป็นพันธมิตรกันระหว่าง Apple และ Goldman Sachs จะทำให้เกิดยักษ์ใหญ่ฟินเทค เป็นผู้เล่นสำคัญในตลาดบริการทางการเงินของโลก บรรดา Virtual Bank เกือบทั้งหมดคิดดอกเบี้ยเงินกู้และค่าธรรมเนียมต่ำกว่าสถาบันทางการเงินแบบดั้งเดิมมากหรือบางธุรกรรมก็ไม่คิดค่าธรรมเนียมหรือดอกเบี้ย และให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากสูงกว่า อย่างบัญชีเงินฝากของ Apple ร่วมกับ Goldman Sachs สามารถจ่ายดอกเบี้ยเงินฝากได้สูงถึง 4.15% เนื่องจาก Virtual Bank เหล่านี้มีต้นทุนในการดำเนินงานต่ำและมีช่องทางและโมเดลในการหารายได้ต่างจากธนาคารแบบดั้งเดิม กรณี Nubank ของบราซิลไม่คิดค่าธรรมเนียมบัตร การโอนเงิน และคิดดอกเบี้ยถูกมาก
ภายในปี 2573 ผู้ใช้อินเตอร์เน็ตทั่วโลกจะเพิ่มเป็นมากกว่า 8 พันล้านราย คิดเป็น 90% ของประชากรโลก จากปัจจุบันมีผู้เข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้เพียง 5 พันล้านราย อุตสาหกรรมการเงินจะสามารถให้บริการผ่านทางดิจิทัลได้ทั่วถึงและง่ายกว่าเดิม ระบบการเงินแบบรวมศูนย์จะขับเคลื่อนสู่ระบบการเงินแบบกระจายศูนย์มากขึ้นตามลำดับ บทบาทของธนาคารกลางจะต้องเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม นโยบายการเงิน นโยบายกำกับสถาบันการเงินและนโยบายระบบการชำระเงินก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงตามบทบาทใหม่
เงินและระบบการเงินในปัจจุบันตั้งอยู่บนระบบ Fiat Money หรือ Fractional Reserve โดยในอดีตนั้น ประเทศต่างๆ มักจะกำหนดให้ค่าเงินสกุลของประเทศตัวเองให้คงที่กับโลหะมีค่าหรือสินค้าชนิดใดชนิดหนึ่งและพยายามรักษาค่าเงินให้คงที่ ประเทศส่วนใหญ่จะพยายามรักษาค่าเงินของตัวเองเมื่อเทียบกับโลหะทองคำจึงเรียกว่า ระบบมาตรฐานทองคำ มาตรฐานเงินตราอาจแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ มาตรฐานโลหะ (Metallic Standard) กับมาตรฐานกระดาษ (Inconvertible paper standard) ขณะที่มาตรฐานโลหะยังแบ่งออกเป็น 4 ประเภทย่อย ได้แก่ มาตรฐานโลหะสองชนิด (Bimetallism) มาตรฐานทองคำ (Gold standard) มาตรฐานเงิน (Silver standard) มาตรฐานโลหะผสม (Symmetallism)
ระบบเบรตตันวูดส์เป็นตัวอย่างแรกของระเบียบการเงินที่มีการเจรจาอย่างสมบูรณ์โดยเจตนาเพื่อปกครองความสัมพันธ์การเงินระหว่างรัฐชาติเอกราช ลักษณะสำคัญของระบบเบรตตันวูดส์ คือ ทุกประเทศมีพันธกรณีใช้นโยบายการเงินซึ่งธำรงอัตราแลกเปลี่ยนโดยผูกเงินตราของประเทศกับทองคำและความสามารถของกองทุนการเงินระหว่างประเทศเพื่อเชื่อมการเสียดุลการชำระเงินชั่วคราว นอกจากนี้ยังมีความจำเป็นต้องจัดการการขาดความร่วมมือระหว่างประเทศอื่นๆ และเพื่อป้องกันการลดค่าเงินตราแข่งขันด้วย
การเตรียมบูรณะระบบเศรษฐกิจระหว่างประเทศระหว่างที่สงครามโลกครั้งที่สองกำลังดำเนินอยู่ ผู้แทน 730 คนจากทั้ง 44 ชาติฝ่ายสัมพันธมิตรประชุมกันที่โรงแรมเมาต์วอชิงตันในเบรตตันวูดส์ รัฐนิวแฮมป์เชียร์ สหรัฐอเมริกา หรือเรียกการประชุมเบรตตันวูดส์ ผู้แทนแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างวันที่ 1-22 ก.ค.2487 และลงนามความตกลงในวันสุดท้าย ซึ่งเป็นการจัดตั้งระบบ กฎระเบียบ สถาบันและวิธีดำเนินงานเพื่อจัดระเบียบระบบการเงินระหว่างประเทศ ผู้วางแผนที่เบรตตันวูดส์สถาปนากองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และธนาคารระหว่างประเทศเพื่อการบูรณะและพัฒนา (IBRD) ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มธนาคารโลก องค์การเหล่านี้เริ่มปฏิบัติงานในปี 2488 หลังประเทศต่างๆ ให้สัตยาบันความตกลงมากแล้ว วันที่ 15 ส.ค.2514 สหรัฐฯ ยุติการแปลงดอลลาร์เป็นทองคำฝ่ายเดียว นำให้ระบบเบรตตันวูดส์ถึงคราวสิ้นสุดและดอลลาร์กลายเป็นเงินเฟียต (fiat currency) ขณะเดียวกันเงินตราอัตราแลกเปลี่ยนคงที่หลายสกุล (เช่น ปอนด์สเตอร์ลิง) กลายเป็นเงินอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวเสรีเช่นกัน พัฒนาการของระบบการเงินโลกนั้นเป็นระบบรวมศูนย์มาอย่างต่อเนื่องภายใต้ระบบธนาคารกลาง แต่สิ่งนี้กำลังเปลี่ยนแปลงไปไม่เหมือนเดิม
ในระบบการเงินแบบเดิมที่มีลักษณะรวมศูนย์ (Centralized Finance หรือ CeFi) มีเงินอยู่ 2 ประเภท ได้แก่ ประเภทแรกเป็นเงินที่ออกโดยรัฐ คือ Public Money หรือ Fiat Money ประเภทที่สองเป็นเงินที่ออกโดยเอกชน หรือ Private Money ที่มาต่อยอด เช่น การสร้างเงินฝากของระบบสถาบันการเงิน รวมทั้งการสร้าง e-Money ในลักษณะต่างๆ เนื่องจากเงินที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันเป็นเงินเฟียต (Fiat Money) เป็นเงินตราที่อำนาจรัฐตราขึ้นให้สามารถชำระหนี้ได้ตามกฎหมายโดยไม่ได้มีโลหะมีค่าหนุนหลังเต็มจำนวน โดยสิ่งที่นำมาใช้เป็นเงินนั้นไม่ใช่โลหะมีค่า เช่น เงินธนบัตรก็เป็นเพียงกระดาษ การยกเลิกการผูกเงินกระดาษกับทองคำก็เพื่อให้ธนาคารกลางมีความสามารถในการพิมพ์เงินอัดฉีดสภาพคล่องและลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เงินเฟียตจึงเหมือนเป็นหนี้ของธนาคารกลางที่ออกมาให้คนถือครองโดยไม่จ่ายดอกเบี้ย มันมีค่าเพราะเราเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจ ในระบบการเงินและธนาคารกลาง
การยกเลิกผูกเงินไว้กับทองคำทำให้ธนาคารกลางสามารถควบคุมนโยบายการเงินได้มากกว่าเดิม หากธนาคารบริหารนโยบายการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่หากธนาคารกลางเกิดบริหารนโยบายการเงินผิดพลาดเพิ่มปริมาณเงินด้วยนโยบาย Quantitative Easing และพิมพ์เงินเข้ามาในระบบมากเกินไปก็อาจทำให้เกิดเงินเฟ้อรุนแรง (Hyperinflation)
คริปโทเคอเรนซี่เกิดขึ้นและท้าทายระบบ Fiat Money อย่างชัดเจน เป็นเหมือนการดึงอำนาจการพิมพ์เงินและการควบคุมปริมาณเงินออกจากระบบธนาคารกลาง หากประชาชนหันไปใช้คริปโทฯ มากขึ้นย่อมทำให้ความสามารถในการควบคุมปริมาณเงินโดยธนาคารกลางลดลง
ธนาคารกลางนั้นจะออกแบบโครงสร้างแบบ 2 ชั้น (Two-tier System) เพื่อให้ประชาชนที่ถือ Private Money สามารถแลกกลับมาเป็น Fiat Money ได้ ทำให้ประชาชนที่ถือเงินมีความปลอดภัยและเงินที่ถือมีสภาพคล่องสูง เงินทั้งสองรูปแบบในระบบการเงินแบบรวมศูนย์นี้จะช่วยสร้างสมดุลระหว่างนวัตกรรมและความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยเอกชน กับบทบาทเงินภาครัฐที่เน้นเสถียรภาพเชิงระบบ ในระบบนี้ธนาคารกลางจะทำหน้าที่ผู้ให้กู้แหล่งสุดท้าย (Lender of Last Resort) อันเป็นกลไกค้ำประกันความมั่นคงของระบบการเงิน
พัฒนาการของเทคโนโลยีดิจิทัลทำให้รูปแบบการทำธุรกรรมทางการเงินที่ไม่มีตัวกลาง (Decentralized finance-DeFi) ขยายตัวและต้นทุนทางการเงินต่ำลง การถือสกุลเงินดิจิทัลไว้เพื่อซื้อสินค้าและบริการได้รับความนิยมมากขึ้น โดยเฉพาะการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลและการใช้บริการกู้เงินระหว่างกันผ่านแพลตฟอร์มโดยไม่ต้องผ่านตัวกลางทางการเงิน แนวโน้มดังกล่าวทำให้ Fiat Money อาจมีบทบาทลดลงในภาคการเงิน (Adrian & Mancini-Griffoli, 2021) หากเงินดิจิทัลไม่ว่าออกโดยเอกชนในประเทศหรือต่างประเทศมีบทบาทมากขึ้น และสามารถทำหน้าที่ในการเป็นหน่วยวัดมูลค่า (Unit of Account) ดีขึ้น เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน (Medium of Exchange) ดีขึ้น เป็นหน่วยในการเก็บรักษาและสะสมมูลค่า (Store of Value) ดีขึ้น อาจจะส่งผลให้บทบาทของธนาคารกลางและอธิปไตยทางการเงิน (Monetary Sovereignty) ลดลง
การออกเงินสกุลดิจิทัลรายย่อยของธนาคารกลาง (Retail CBDC) จะช่วยรักษาสมดุลระหว่าง Fiat Money กับสกุลดิจิทัลทางเลือก ทำให้ส่งผลกระทบต่ออธิปไตยทางการเงินลดลง นอกจากนี้ในประเทศที่มีความเชื่อมั่นต่อระบบธนากลางและมีความเป็นอิสระในการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางย่อมทำให้อธิปไตยทางการเงินเข้มแข็งขึ้น อีกด้านหนึ่งเทคโนโลยีเดิม Core Banking System ของระบบธนาคารพาณิชย์แบบเดิมขาดความยืดหยุ่นและขาดความเชื่อมโยงกับระบบเทคโนโลยีใหม่ที่ถูกพัฒนาขึ้นมา ปัจจัยนี้จะทำให้ระยะยาวแล้ว ระบบ Virtual Banking จะตอบโจทย์ผู้ใช้บริการทางการเงินมากกว่าและมีค่าบริการ ต้นทุนที่ต่ำกว่ามาก ความมั่นคงปลอดภัยของระบบเทคโนโลยีและ Cybersecurity ของระบบ Virtual Bank และการเงินดิจิทัลจะเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดว่าธนาคารไร้สาขาแบบให้บริการดิจิทัลเต็มรูปแบบจะเติบโตแค่ไหนอย่างไร