น.ส.อรมนต์ จันทพันธ์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายคุ้มครองและตรวจสอบบริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.จะเริ่มมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้เรื้อรังกลุ่มเปราะบาง ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.นี้ เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ ประเภทวงเงินหมุนเวียน (ไม่รวมสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน, สินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัล และบัตรเครดิต) ในกลุ่มบัตรกดเงินสดที่ไม่ได้เป็น NPL (หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้) และชำระดอกเบี้ยรวม มากกว่าเงินต้นที่ชำระมาทั้งหมดเป็นระยะเวลานาน ให้สามารถปิดจบหนี้ได้เร็วขึ้น
ทั้งนี้ ลูกหนี้จะได้รับสิทธิ์ 1 ครั้งต่อ 1 บัญชี ต้องปิดวงเงินสินเชื่อเดิม และต้องรายงานประวัติข้อมูลเครดิต โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ
1. ลูกหนี้ที่เริ่มมีปัญหาหนี้เรื้อรัง (General PD) คือ ลูกหนี้ที่จ่ายดอกเบี้ยรวมมากกว่าเงินต้นรวม มาแล้ว 3 ปี แต่ไม่ถึง 5 ปี โดยลูกหนี้จะได้รับการแจ้งเตือน เพื่อกระตุกพฤติกรรมให้จ่ายชำระหนี้เพิ่มเติม และพิจารณาขอความช่วยเหลือให้สามารถปิดจบหนี้เร็วขึ้นได้ โดยจะต้องเปิดให้มีการคุยกับเจ้าหนี้ เพื่อขอปรับโครงสร้างหนี้ หรือสามารถชำระเงินเพื่อโปะปิดหนี้ได้ทันที
2. ลูกหนี้ที่เป็นหนี้เรื้อรัง (Severe PD) คือ ลูกหนี้ที่จ่ายดอกเบี้ยรวม มากกว่าเงินต้นรวม มาแล้ว 5 ปี และมีรายได้ต่อเดือนน้อยกว่า 2 หมื่นบาท สำหรับลูกหนี้สถาบันการเงินและบริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงิน หรือน้อยกว่า 1 หมื่นบาท สำหรับลูกหนี้นอนแบงก์ โดยลูกหนี้จะได้รับการแจ้งเตือน และสมัครใจเข้าร่วมมาตรการปิดจบหนี้เรื้อรัง (opt-in) ด้วยการเปลี่ยนประเภทสินเชื่อเป็นสินเชื่อที่ผ่อนชำระเป็นงวด ให้ปิดจบหนี้ได้ภายใน 5 ปี ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงไม่เกิน 15% ต่อปี โดยลูกหนี้จะต้องปิดวงเงินสินเชื่อที่เข้าร่วมมาตรการ เพื่อให้ปิดจบหนี้ภายใต้มาตรการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
"มีการพิจารณา พบว่ากลุ่มที่เป็นหนี้เรื้อรังในกลุ่มสินเชื่อส่วนบุคคล ที่อัตราดอกเบี้ย 25% ต่อปี วงเงินที่ชำระขั้นต่ำ 3% ต่อเดือน นำไปตัดดอกเบี้ยถึง 2.1% ขณะที่ตัดเงินต้น 0.9% ซึ่งเป็นการจ่ายดอกเบี้ยมากกว่าเงินต้น หากมีการกู้เงิน 15,000 บาท โดยจ่ายขั้นต่ำต่อไป จะใช้เวลาปิดหนี้ถึง 18 ปี มีภาระดอกเบี้ยรวม 29,000 บาท แต่ถ้าเข้าร่วมมาตรการ จะปิดจบหนี้ได้ภายใน 8.5 ปี ภาระดอกเบี้ยรวมเหลือ 17,500 บาท" น.ส.อรมนต์ กล่าว
โดยลูกหนี้ทั้ง 2 กลุ่ม จะได้รับการแจ้งเตือนเป็นรายบัญชี อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เป็นระยะเวลา 3 ปี ผ่านช่องทางที่ได้ตกลงไว้กับเจ้าหนี้อย่างน้อย 1 ช่องทาง เช่น จดหมาย, อีเมล์, SMS, Mobile Application เพื่อกระตุ้นให้จ่ายชำระหนี้เพิ่มขึ้น ตลอดจนสมัครเข้าร่วมมาตรการปิดจบหนี้เรื้อรัง
"หากลูกหนี้ต้องการทราบสถานะของตัวเอง สามารถติดต่อสาขา หรือ Call Center ของผู้ให้บริการ เพื่อตรวจสอบสถานะและสอบถามรายละเอียดการเข้าร่วมมาตรการแก้หนี้เรื้อรังได้ ในกรณีที่ลูกหนี้มีหลายบัญชี อาจเลือกบางบัญชีเข้ามาตรการก่อนก็ได้" น.ส.อรมนต์ กล่าว
พร้อมระบุว่า ภายในเดือน มี.ค.นี้ จะเข้าตรวจสอบปูพรมผู้ให้บริการผ่านการตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง เช่น สุ่มตรวจการปรับโครงสร้างหนี้ ว่าผู้ให้บริการได้เข้าช่วยเหลือแก้หนี้จริง รวมถึงคุณภาพของการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ กับสถาบันการเงินและบริษัทในกลุ่มทางธุรกิจการเงิน รวมถึงนอนแบงก์ เพื่อให้มั่นใจว่าการดำเนินการจะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
โดยกำชับให้เตรียมระบบให้ทัน และต้องกวาดลูกค้าในกลุ่มดังกล่าวเข้ามาทั้งหมด ซึ่งเดิมทีเป็นการขอความร่วมมือ แต่จากพ.ร.บ. ธุรกิจสถาบันการเงิน ให้อำนาจ ธปท.เรียกเบี้ยปรับ หรือสั่งชะลอธุรกิจได้ หากสถาบันการเงินไม่ปฏิบัติตาม
"ยังไม่ได้มีการตั้งเป้าหมายว่าจะมีลูกหนี้เข้าร่วมมาตรการจริง ๆ เท่าไร ธปท.ยังไม่มีข้อมูล จนกว่าจะสิ้นสุดเดือน เม.ย. ที่สถาบันการเงินส่งข้อมูลลูกหนี้มาให้ทั้งหมด ยอมรับว่าประเด็นที่ลูกหนี้ที่จะเข้าโครงการ จะต้องปิดวงเงินสินเชื่อก่อน อาจจะทำให้มีจำนวนลูกหนี้ที่เข้าร่วมการปิดจบหนี้เรื้อรังไม่มากนัก" น.ส.อรมนต์ กล่าว