นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด กล่าวว่า ปี 67 จะเป็นปีที่มีเม็ดเงินลงทุนเข้ามาในอาเซียนจำนวนมหาศาล ซึ่งจะทำให้เป็นยุคทองของอาเซียน หลังจากปี 66 ภาพรวมทั่วโลกเผชิญความท้าทายด้านต่าง ๆ ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เศรษฐกิจทั่วโลกจะถูกขับเคลื่อนด้วย Digital Service Trade และบิทคอยน์ถือเป็นหนึ่งในการลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงที่ดีที่สุดในช่วงเวลานี้
ปี 67 เป็นปีแห่งการปรับลดอัตราดอกเบี้ย คาดว่าประเทศส่วนใหญ่จะสามารถคุมเงินเฟ้อได้ และจะเริ่มกระตุ้นเศรษฐกิจ อัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ คาดว่าระยะสั้นเม็ดเงินจำนวนมากจะไหลเข้าสู่ภูมิภาคเอเชีย เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ทำให้ความร่วมมือกันระหว่างประเทศขนาดใหญ่ลดน้อยลง เช่น ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐและจีน ทำให้เกิดการแยกห่วงโซ่อุตสาหกรรมจากจีน หรือ Decoupling ที่เกิดขึ้นในฝั่งของเทคโนโลยี ทั้งการกีดกันการเข้าถึงเซมิคอนดักเตอร์ ชิปคอมพิวเตอร์ ขณะที่ธุรกิจดั้งเดิมยังต้องพึ่งพากันอยู่ แต่จะเป็นการกระจายความเสี่ยงด้วยการกระจายการลงทุน หรือย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่น ๆ ซึ่งไทยและเวียดนามได้รับอานิสงส์จากประเด็นดังกล่าว
นอกจากนี้ ปรากฎการณ์สังคมผู้สูงอายุที่เกิดขึ้นเกือบทุกประเทศทั่วโลก แต่ในอาเซียน อาทิ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ยังมีประชากรวัยทำงานจำนวนมาก นักลงทุนต่างชาติมองว่าเอเชียจะภูมิภาคที่เติบโตต่อไป และยังเป็นภูมิภาคที่มีความขัดแย้งน้อย และมั่นคงมากที่สุดในโลก เชื่อว่าจะสามารถดึงดูดนักลงทุนต่างชาติระยะยาว
รวมทั้งภายในปี 68 จะเกิด Digital Economy Asean Integration Agreement ความร่วมมือดังกล่าวจะก่อให้เกิด Free Flow of payment การใช้จ่ายระหว่างประเทศสะดวกมากขึ้น free flow of people คนที่มีความสามารถจะทำงานได้ทั่วภูมิภาค ทำให้อาเซียนเป็นพื้นที่เศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก และ free flow of goods & logistics การขนส่งสินค้าทั่วภูมิภาคสะดวกมากขึ้น
ขณะที่ในระยะยาวเม็ดเงินจะไหลเข้าธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับดิจิทัล และกรีน ซึ่งจะกลายมาเป็นสิ่งสำคัญในอนาคต และจะเป็นสิ่งที่สร้างกระบวนการทำงานและธุรกิจใหม่ให้เกิดขึ้น และจะเป็นหนึ่งในตัวขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจของประเทศไทย ซึ่งเทคโนโลยี AI จะปลดล็อคให้ประเทศเติบโตต่อไปได้ โดยสิ่งที่ธุรกิจ SMEs ควรทำตอนนี้คือการนำ AI เข้ามาใช้ในกระบวนการทำงาน และทำให้กระบวนการทำงานทั้งหมดเป็นระบบดิจิทัล
นอกจากนี้ เทรนด์ของ Green Economy หรือความยั่งยืน เป็นสิ่งที่ทั่วโลกกำลังเผชิญ โดยองค์กรต่าง ๆ พัฒนาไปสู่ความยั่งยืนปรับการทำงานสู่ดิจิทัล แต่ยังใช้เงินที่ผลิตจากกระดาษมาจากการตัดไม้อยู่ ดังนั้น ในอนาคตเงินจะถูกทำให้เป็นดิจิทัลอย่างแน่นอน ทั้งนี้ ปัจจุบันสินทรัพย์ดิจิทัลรวมอยู่ในตลาดประมาณ 2.4-2.5 Trillion USD ยังมีจำนวนน้อยมากเมื่อเทียบกับมูลค่า investable asset classes ทั้งหมดกว่า 500 Trillion USD
"เรากำลังจะขับเคลื่อนไปสู่สังคมที่ทุกอย่างเป็น Digital Asset ทั้งหมด อีกหน่อยทุกอย่างที่มีมูลค่ารอบตัวเราจะถูกทำให้เป็นดิจิทัล บิทคอยน์เป็นหนึ่งในการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงที่ดีที่สุดใน Generation ของพวกเรา และน้ำกำลังขึ้นในอาเซียน เราต้องเตรียมความพร้อมในการลงทุน เราต้องเปลี่ยนสไตล์การลงทุน ต้องหาธุรกิจอะไรที่จะอยู่รอดในอนาคต 10 ปีข้างหน้าได้" นายจิรายุส กล่าว